อนุสรณ์ ติปยานนท์ : เรื่องน่าเศร้าของรักต่างชนชั้น

ฝนตกลงมาตลอดคืน แต่ไม่มีอะไรหยุดยั้งการเดินทางของเขาได้

เขาเดินและเดินไปตามเส้นทางเล็กๆ ในป่า สายฝนตกมาเช่นนั้นตลอดฤดู เขาต่างหากที่เป็นฝ่ายผิดที่คิดจะเอาชนะมัน

ความดื้อดึงเป็นนิสัยส่วนตนที่แก้ไขยากของเขา ซึ่งเขาก็รู้ดี และการที่รู้และเข้าใจมันอย่างดีนั้นยิ่งทำให้เขาเจ็บปวดเมื่อเขาพบว่าสิ่งที่เขาทำอยู่นั้นอาจไร้สาระหาแก่นสารใดไม่ได้เลย

เขาผู้เป็นพระภิกษุ เขาผู้เป็นบรรพชิต เขาผู้กำลังตกอยู่ในห้วงรัก

สามเดือนกว่าที่เขาพำนักอยู่ในสถานที่เดียว และสี่เดือนกว่าที่เขาครอบครองเครื่องแต่งกายแบบใหม่ จากเสื้อและกางเกงที่เขาคุ้นเคยมาทั้งชีวิต เขากลับต้องพึ่งพาสิ่งที่เรียกว่า สบง จีวร สังฆาฏิ จากอุปกรณ์ทันสมัยที่เรียกว่าคอมพิวเตอร์ ปริ๊นเตอร์ กล้องวัดระยะทาง

บัดนี้สิ่งเลี้ยงชีพและประทังชีวิตของเขามีคำเรียกขานว่าบาตรและกลด

เขามีเพียงสิ่งของเหล่านี้ติดตัวมา ตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาเขามีสิ่งของเหล่านี้เท่านั้นที่เป็นทรัพย์สินส่วนตัว

เขาละทิ้งทุกอย่างไปเมื่อเปลี่ยนสถานภาพ เงินทอง บ้านเรือน เพื่อนฝูงที่คุ้นเคย

เขาละทิ้งความทรงจำหลายอย่างไป การงาน หน้าที่ องค์ความรู้ทั้งหลาย

สิ่งเดียวที่เขาไม่ละทิ้ง และไม่อาจละทิ้งได้คือเธอ

 

ตลอดระยะเวลาหลายเดือน เขาขบคิดถึงเธอ

และขบคิดถึงว่าทำไมเขาจึงไม่อาจตัดเธอออกจากใจได้ คำว่าตัดใจมีความหมายมากกว่าที่เขาเคยเข้าใจ

มันไม่ใช่เพียงแค่การเลิกรัก แต่มันยังหมายถึงการยุติความทรงจำทั้งมวลต่อใครคนหนึ่งด้วย

เขาอยากยุติความทรงจำทั้งหลายที่มีต่อเธอเพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่ดึงรั้งเขาให้กลับสู่โลกียวิสัย วิสัยของผู้ที่หม่นหมอง หม่นหมองด้วยทุกข์และความไม่เที่ยง

เขาตัดสินใจออกจากเรือนเพียงเพราะเหน็ดเหนื่อยกับการงาน

แต่หลังจากการเปลี่ยนสภาพของชีวิตได้ช่วงหนึ่ง เขาก็พบว่าเขาเหมาะสมกับสภาพนี้มากกว่าสภาพอื่นที่เคยอิงอาศัยมา

ความรู้สึกโปร่งเบา ไร้สภาวะที่ต้องแบกรับความคาดหวัง

ไม่จำต้องขบคิดถึงการเลี้ยงชีวิตและการได้อยู่กับการขัดเกลาตนเอง

ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เขาพบว่ามันเป็นยอดปรารถนา

แม้นหากเพียงเขาจะลืมเธอได้ เขาคงรุดหน้าไปไกลกว่านี้ในดินแดนแห่งจิตวิญญาณ

แต่มันช่างยากเย็นนัก ทุกครั้งที่เขาหลับตา เขาคิดถึงรสสัมผัสจากเธอ

ทุกครั้งที่เขาติดตามลมหายใจของตนเอง เขาคิดถึงแต่ลมหายใจสอดกระเส่าของเธอ

ทุกครั้งที่เขาเพ่งความสนใจไปที่อารมณ์ มันก็มีเพียงแต่อารมณ์ที่อุบัติขึ้นจากเธอ

ไม่น่าเชื่อว่ายิ่งเขาปรารถนาจะไกลจากเธอมากเพียงใด เธอกลับเข้าใกล้เขามากกว่าที่เป็นมา

 

หลายครั้งที่เขาคิดถึงการยอมแพ้ แม้จะอยู่ในช่วงเวลาที่ต้องฝึกตน แต่เขากลับรู้สึกว่าการจำยอมอาจให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า เพียงแค่การเดินออกไปสู่ที่ประชุมสงฆ์ บอกกล่าวว่าข้าพเจ้าหมดบุญบารมีที่จะอยู่ในเพศบรรพชิตเสียแล้ว ทุกอย่างก็จะจบลง

กระนั้นเขากลับไม่ได้เลือกการกระทำดังกล่าว

หนทางที่เขาเลือกคือการทรมานตนเอง

ทุกครั้งที่เขาคิดถึงเธอจนไม่อาจทานทนได้ เขาจะขังตนเองอยู่ในเสนาสนะส่วนตน ปิดบานประตู ลั่นดาลหน้าต่าง ไม่มีอาหาร มีน้ำเพียงน้อยนิดพอได้ประทังชีวิต ดวงตาเพ่งมองเพดาน หายใจไปกับความคิดถึงจนกว่าร่างกายจะหมดเรี่ยวแรง

และเมื่อร่างกายอ่อนแอลง ความรู้สึกปรารถนาในอาหารและผู้คนจะขจัดความคิดถึงที่มีต่อเธอ เขาจะลุกขึ้น เปิดประตูออก บิณฑบาตไปในหมู่บ้านเล็กๆ นั้น

ตระเตรียมกำลังวังชาให้พร้อมสำหรับการจู่โจมจากห้วงคำนึงถึงเธอในกาลต่อไป

ในกาลก่อน สมัยยังเป็นคฤหัสถ์นั้น เขาเคยผ่านตาเรื่องราวของพระเรวตะและนางลีลาวดี เรื่องราวของพระภิกษุหนุ่มผู้เกินในวรรณะจัณฑาลและนางลีลาวดีผู้เกิดในวรรณะพราหมณ์ โชคชะตาของเรวตะมาณพอันพลิกผันเริ่มต้นขึ้นเมื่อต้องไปอาศัยอยู่ในบ้านของสุมังคละคหบดีผู้มีลูกสาวนามลีลาวดี

ความใกล้ชิด จิตใจอันเอื้ออารีของนางลีลาวดีที่มีต่อชายหนุ่มผู้อาภัพทำให้ทั้งคู่ผูกเสน่หาซึ่งกันและกัน เขายังจำถ้อยความที่เรวตะมาณพกล่าวต่อลีลาวดีถึงความในใจของเขาเป็นครั้งแรกได้

ถ้อยความอันเจียมตนเสียเต็มประดา

“ข้าพเจ้ารักท่าน ลีลาวดี รักยิ่งกว่าชีวิตของข้าพเจ้าเอง หัวใจของข้าทรยศต่อผู้มีพระคุณเสียแล้ว ข้าพเจ้าทราบดีว่าตนเป็นเพียงเด็กจัณฑาลเดนมนุษย์ไม่ควรค่าแม้แต่จะเช็ดเท้าให้ท่าน และได้พยายามห้ามปรามจิตใจไว้ แต่มันก็ไม่ยอมเชื่อฟัง ลีลาวดีเอ๋ย ท่านไม่ต้องเสียใจ ข้าพเจ้าไม่ต้องการแม้แต่คำว่ารักจากท่าน เพียงแต่ขอบอกความจริงใจแก่ท่านเท่านั้นเอง”

ลีลาวดีร้องไห้ เรวัตตะตกใจมาก แต่เธอกลับกล่าวว่า

“เธอก็ทราบแล้วมิใช่หรือว่า น้ำตาของคนเรามิใช่เครื่องหมายแห่งความโศกเศร้าเสียใจเสมอไป”

“ถ้าเช่นนั้น ข้าพเจ้าอยากจะเข้าใจว่า ท่านก็รักข้าพเจ้าเช่นเดียวกัน”

“ไม่ผิดหรอก เรวัตตะ เธอเข้าใจถูกแล้ว”

“ขอทาสผู้ซื่อสัตย์ของท่าน ได้จุมพิตมือของท่าน ให้สาสมกับความดีใจด้วยเถิด”

 

ความรักที่แตกต่างกันในเรื่องของชนชั้นไม่เคยลงเอยด้วยความสุข

ในสมัยพุทธกาลนั้นก็เช่นกัน เมื่อครอบครัวของนางลีลาวดีทราบในเรื่องราวของคนทั้งสอง นางจึงถูกทรมานและกักขัง

เรวตะมาณพเมื่อล่วงรู้ว่าตนเองเป็นต้นเหตุจึงปลีกหนีเสียออกจากครอบครัวของสุมังคละเศรษฐี

เขาเร่ร่อนไปดังขอทานและชายวิปลาสจนได้ตกไปอยู่ในหมู่โจรที่ยังชีพด้วยการปล้นชิงผู้คนที่ผ่านมา

กาลเวลาผ่านไปนานนับปี บุคคลที่ถูกปล้นชิงล่าสุดและถูกเลือกไว้บูชายัญต่อเจ้าแม่กาลีกลับเป็นสุมังคละเศรษฐีนั่นเอง

เรวตะมาณพจดจำผู้มีพระคุณได้และขอให้ปล่อยตัวเขาไปโดยเขาสัญญาว่าจะหาบุคคลอื่นมาบูชายัญแทน

เรวตะมาณพออกเสาะหาเหยื่อก่อนจะพบเข้ากับพระภิกษุรูปหนึ่ง

เขาพาพระภิกษุรูปนั้นกลับไปยังที่ประชุมโจร

แต่ท่าทีอันอาจหาญของพระภิกษุทำให้โจรทั้งหลายยอมวางอาวุธและออกบวชเป็นบรรพชิตรวมทั้งเรวตะมาณพด้วย

พระเรวตะกลับมาพำนักอยู่ที่อารามเชตวัน เมืองสาวัตถี

ที่นั่นเองท่านได้พบกับนางลีลาวดีอีกครั้ง

ชีวิตของนางเปลี่ยนแปลงไป นางได้กลายเป็นสาวสะพรั่ง บิดาของนางคือสุมังคละเศรษฐีได้สิ้นชีวิตไป นางพำนักอยู่กับมารดาเพียงสองคน

นางปรารถนาให้พระเรวตะลาสิกขามาอยู่กับนาง

แต่พระเรวตะกลับถูกจับในฐานะที่เคยเป็นอดีตโจร ท่านถูกทรมานจนสลบก่อนจะพบว่านางลีลาวดีเป็นผู่ไถ่ตัวท่านออกมาจากการถูกลงโทษ

ในครานี้พระเรวตะยินดีลาสิกขาเพื่อมาอยู่กินกับนางลีลาวดีเพื่อเป็นการทดแทนบุญคุณ แต่ท่านขอโอกาสกลับไปแจ้งแก่อาจารย์เสียก่อน

ทว่าทุกอย่างกลับพลิกผันเมื่อมีชายคนที่หมายปองในนางลีลาวดีออกอุบายให้ทั้งคู่ต้องแยกจากกัน

ด้วยความเสียใจ พระเรวตะออกจาริกไกลไปในทุกแห่งหนจนเข้าสู่วัยชรา ท่านกลับมาพำนักที่เวฬุวัน กรุงราชคฤห์และได้พบกับนางลีลาวดีอีกครั้ง หากแต่ในบัดนี้นางได้กลายเป็นภิกษุณีไปเสียแล้ว

หลังจากนางลีลาวดีทราบความจริง นางได้ออกบวชเป็นภิกษุณีเพื่อตามหาพระเรวตะ

ในที่สุดนางก็สมหวังแม้ว่าบัดนี้ร่างกายของนางจะทรุดโทรมและใกล้ถึงกาลอวสานแห่งสังขาร

ทั้งคู่เผยความในใจซึ่งกันและกันและพรากจากกันในชีวิตนี้ทั้งที่ความรักยังคงมั่นมิเสื่อมคลาย

 

เขายุติการจดจำเนื้อหาในนวนิยายธรรมะเรื่องนี้เพียงเท่านี้

ลีลาวดีที่ถูกแต่งโดยผู้เขียนนาม ธรรมโฆษ เป็นนวนิยายที่เขาคิดว่าห่างไกลจากตนเองมากเมื่อแรกอ่าน

แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป เขากลับพบว่านวนิยายเรื่องนี้แฝงด้วยความจริงที่เข้มข้น

ทุกสิ่งทุกอย่างในนวนิยายเรื่องนี้ถูกเขียนขึ้นด้วยความจริง

แม้ว่าฉากและเหตุการณ์จะเป็นเรื่องที่ถูกตกแต่งขึ้นก็ตามที ไม่มีความรักใดที่รุ่มร้อนและพร้อมจะถูกเผาไหม้ไปกว่าความรักที่ถูกกั้นด้วยความแตกต่างทางศีลธรรมและจรรยา เขายังรักเธอไหม นั่นเป็นเรื่องแน่ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ตกหลุมรักเพศสภาวะใหม่ของเขาด้วย ชีวิตนักบวชเป็นสิ่งที่เขาพึงใจในยามนี้ แต่ในยามนี้เช่นเดียวกันที่เขาไม่อาจลืมเธอ

ด้วยเหตุนี้เขาจึงออกเดิน

เขาต่อสู้กับภาพความทรงจำของเธอมาตลอดวษา

จนพ้นพิธีกรรม ทุกอย่างจบสิ้นลง ในคืนพระจันทร์เต็มดวงนั้นเขาปวารณาตนที่จะออกเดินไปยังเคหาสน์ของเธอ

เคหาสน์ของหญิงผู้เป็นคนรักที่เขาขอเวลาห่างเหินเธอเพียงสามเดือน

แต่กลับพบว่าเขาอยากห่างเหินเธอไปตลอดกาล

เขาจะใช้การเดินตัดสินสิ่งที่ต่อสู้และยื้อแย้งนี้ว่าฝ่ายใดจะเป็นฝ่ายชนะและฝ่ายใดจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้

เขาจะออกเดินจากที่พัก จากเสนาสนะหลังน้อย สู่เมือง สู่มหานคร

เขาจะไปปรากฏตนต่อหน้าเธอ เอื้อนเอ่ยความจริงว่าเขาได้ตัดสินใจแน่วแน่แล้วที่จะตัดใจจากเธอ

เขารู้ดีว่าในปัจจุบันมีหนทางที่ง่ายกว่ามากในการกล่าวเช่นนั้น การสื่อสารในปัจจุบันทำให้ทุกอย่างง่ายลงในพริบตา หากแต่เขายังปรารถนาที่จะอยู่กับเธอให้เนิ่นนาน อยู่กับความทรงจำที่มีต่อเธอให้เนิ่นนาน

ตลอดเส้นทาง เขาจะย่างเท้าไป คำนึงถึงเธอ เฝ้าพิจารณาว่าเธอมีความดีและความงามมากเพียงใด

หากแต่เขาไม่ใช่บุคคลเดิมที่จะเชยชมความดีและความงามนั้นแล้ว

เขาจะปล่อยให้เธอเป็นอิสระ และเขาจะขอให้เธอปล่อยเขาให้เป็นอิสระเช่นกัน

เขาก้าวเท้าไปไม่หยุดยั้งจนรุ่งสาง ฝนบนฟ้าหยุดตกลงมาแล้ว แต่ภาพคำนึงของเธอกลับไม่เลือนหายไป

เขามองไปยังถนนเบื้องหน้า ยังเป็นหนทางอีกไกลกว่าจะได้เผชิญหน้าเธอ

ยังเป็นหนทางอีกแสนไกลกว่าจะได้พบเธอ