เพ็ญสุภา สุขคตะ : Free Write Award ครั้งที่ 3 “ร้อนแรง ยิงตรง ไม่ต่างจากประเทศกูมี!”

เพ็ญสุภา สุขคตะ

ฉบับก่อนได้นำเสนอไปแล้ว 2 รางวัลชมเชย ซึ่งอันที่จริงทั้ง 5 ชิ้นในรอบสุดท้ายนี้ สำหรับดิฉันแล้วให้คะแนนสูสีกันทั้งหมด ต่างกันแค่ชิ้นละ 0.5 คะแนนเท่านั้น

ฉบับนี้ขอนำลงชิ้นที่ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 (พิราบขาว) ลีลาอ้อยอิ่งพริ้งพราย แพรวพราวด้วยสัญลักษณ์ เหมือนงานกวีชั้นครูยุค “วิสา คัญทัพ – วัฒน์ วรรลยางกูร”

ยอมรับว่าหาผู้เขียนบทกวีแนวนี้ยากยิ่งแล้วในโลกยุคใหม่

กับอีกชิ้นได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 (ถึงเวลา) จังหวะอารมณ์ค่อนไปทางโหมบุกรุกเร้า

ยิ่งชิ้นที่ได้รางวัลชนะเลิศ ซึ่งจะลงพิมพ์สัปดาห์หน้านั้น เป็นกลิ่นอายเดียวกันกับ “ประเทศกูมี” เสียดสี สาดกระสุน ไม่อ้อมค้อม

แต่บทกวีรางวัลชนะเลิศ พร้อมบทสัมภาษณ์รองอันดับ 1 คงต้องขอนำลงสัปดาห์หน้า เหตุเพราะพื้นที่ไม่เพียงพอจะลงเนื้อหาทั้งหมดได้ในคราวเดียว

 

พิราบขาว : กานดามณี รัตนพล

ปีกขาวพิราบซื่อกระพือผับ ในกรงอัปลักษณ์ที่คุมขัง

สายตามองเหยียดกรงอย่างจงชัง เปี่ยมนัยหวังวันหนึ่งจะพึงบิน

ปีกดำกาต้านแรงพัดสะบัดโบก ล้วนร่องรอยกร้านโลกขนแหว่งวิ่น

ปรารถนากรงใดให้อยู่กิน ไม่วายฟ้าจมดินอย่างดิ้นรน

 

เล็บคมจิกเกาะเกี่ยวเรียวกิ่งไม้ มองกรงใหญ่วันที่ฟ้าสีหม่น

แม้พายุโหมหาญนานเกินทน กรงคงคุ้มกันตนพ้นลมพาล

“เถิด…พิราบขาวเจ้าโชคดี ข้ามิมีที่ใดได้เป็นบ้าน

เป็นที่กินที่นอนก่อนร้าวราน แลเป็นศาลฝังร่างครั้งปางตาย”

 

“เถิด…ดูก่อนกาดำฟังคำข้า เจ้ารักฟ้านั่นไหมให้ความหมาย

เจ้ารักไหมน้ำกรวดหินตราบดินทราย เพียงระย่อก็เหือดหายด้วยสายลม

เจ้าต่อสู้เป็นตัวของตัวเอง ไยจึงเกรงดินผงลงทับถม

เจ้าโบกบินปีกคว้างว้างจิตตรม ไยซานซมโหยหาพันธนาการ

 

ทุ่งหญ้าพริ้มลมพรายเลื่อมลายน้ำ อาทิตย์ย่ำเยือนหยอกเมฆหมอกม่าน

ดอกไม้แห่งเสรีที่เบ่งบาน อิสระทุกหย่อมย่านนั่นบ้านเนา”

กาดำขยับปีกหลีกเขยื้อน ครุ่นคิดคำย้ำเตือนยิ่งทบเท่า

ขนดำขลับกลับขาวราวดอกเลา สะท้อนเงาวันที่ฟ้าสีทอง

 

การต่อสู้มอบบาดแผลแก่นักสู้ สู้เพื่ออยู่อยู่เพื่อปลูกความถูกต้อง

ยอมรับความเป็นไปในครรลอง เผชิญทุกสิ่งผองอย่างคลองธรรม

ประชาธิปไตยก็เช่นนั้น… อำนาจใดฤๅกดดันให้ตกต่ำ

ประชาชนเคียงอยู่ข้างผู้นำ เปรียบลมใต้ปีกค้ำประคองบิน

 

หากขาดซึ่งผู้นำย่อมเหน็บหนาว ขาดชนราวขาดหัวใจไม่สมถวิล

ตราบตราสันติภาพทาบแผ่นดิน เราทั้งสิ้นย่อมใช่ทาสอำนาจใคร

วันนั้น…พิราบขาวจะพ้นกรง รุ้งคลายโค้งทอแสงส่งสู่ทางใหม่

อธิปไตยในประชาธิปไตย ผู้ยิ่งใหญ่มีนามว่า “ประชาชน”

 

สาวใต้ตาคม ไม่เท่าคมคำ
ลูกศิษย์ “รัตนธาดา แก้วพรหม”

กานดามณี รัตนพล อายุ 19 ย่าง 20 เท่านั้น กำลังศึกษาอยู่ที่คณะมนุษยศาสตร์ สาขาวิชาภาษาไทย มหาวิทยาลัยรามคำแหง

เป็นสาวนครศรีธรรมราช ปัจจุบันอาศัยชายคาหอพักเป็นที่ขีดเขียนงานแถวหน้ารามฯ มักจะใช้นามปากกาว่า “กวีที่ถูกลืม” หรือ “ครูเท่ง” ตามโอกาสและอารมณ์

เริ่มรู้สึกชอบเขียนกาพย์กลอนตั้งแต่ชั้น ป.2 โดยจะแต่งนิทานให้ครูภาษาไทยอ่าน ครูก็เรียกออกมาอ่านให้เพื่อนฟังหน้าห้องเรียน

รู้สึกว่าเพื่อนชอบและสนุกกับนิทานที่เราเขียนก็เขียนเรื่อยมา

จนถึงชั้น ป.5 เป็นช่วงที่ชีวิตได้รับแรงบันดาลใจอย่างแรงกล้า เมื่อได้รู้จัก “อาจารย์ธนิสร จันทร์บุญ” ผู้สอนภาษาไทย เข้ามาที่ห้องเรียนเพื่อเฟ้นหานักกลอนที่จะซ้อมแข่งขัน

เพื่อน ๆ ต่างชี้มาที่กานดามณี ตั้งแต่วันนั้นมา กานดามณียังยืนหยัดอยู่ในวิถีของกวีจวบจนวันนี้

กานดามณีได้รับความอนุเคราะห์จาก “สำนักกวีน้อยเมืองนคร” ซึ่งคอยหล่อหลอมเยาวชนให้เป็นกวีที่รับผิดชอบต่อสังคม

เราพบเพื่อน พี่ น้องและครูบาอาจารย์อันเป็นที่รักเคารพในชาวกวีน้อยฯ มี “ลุงบุญเสริม แก้วพรหม” หรือ “รัตนธาดา แก้วพรหม” เป็นหัวเรือใหญ่ของสำนัก เป็นแบบอย่างที่ดีในการดำเนินชีวิตและการต่อสู้เพื่อความถูกต้อง รัตนธาดาทำให้เห็นชัดว่าการเป็นกวีมิใช่เพียงสักแต่จะสร้างถ้อยคำเพื่อจรรโลงสังคมเท่านั้น แต่ควรมีพฤติกรรมและการปฏิบัติที่งดงามเช่นเดียวกับถ้อยคำของเราด้วยเช่นกัน นั่นจึงจะถือว่าเป็นกวีที่แท้จริง

นอกเหนือจากครูกวี “รัตนธาดา แก้วพรหม” แล้ว กานดามณียังเติบโตมาจากนิทานอีสปและขายหัวเราะ ตอนเด็กๆ ชอบอ่านมาก

เมื่อโตขึ้นจึงขยับขยายตามความชอบที่มาใหม่จึงเห่อหนังสือกลอน เริ่มจาก นิภา บางยี่ขัน ประยอม ซองทอง สมศักดิ์ ศรีเอี่ยมกูล ฯลฯ

ได้รับรางวัลในการแข่งขันกลอนสดและแข่งขันกลอนกระดาษบ้าง ยังรู้สึกว่าต้องพยายามอีกต่อไป

เกี่ยวกับรางวัล Free Writ Award ถือว่าเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นออกมาในรูปแบบวรรณศิลป์ เป็นความคิดเห็นที่งดงามท่ามกลางฉันทลักษณ์หรือถ้อยคำที่กลั่นกรองเพื่อสื่อความหมายนัยบางอย่างที่อาจจะพูดตรงไปตรงมาไม่ได้ในยุคนี้ เพราะอาจจะต้องถูกนำไปปรับฉันทลักษณ์ (ทัศนคติ) ใหม่

บทกวีพิราบขาวชิ้นนี้ รจนาขึ้นจากความรู้สึกที่ตัวเองมองว่า “คนดีแม้จะอยู่ที่ไหนก็เป็นคนดี และทำให้คนที่หลงผิดกลับมาเป็นคนดีได้เช่นกัน”

มีการเปรียบเทียบ “กาดำที่มีอิสระ” สามารถออกหากินและบินไปได้ตามต้องการแต่กลัวภัยธรรมชาติ กลัวที่จะต้องตายอย่างโดดเดี่ยว

กับ “พิราบขาวที่ถูกจองจำอยู่ในกรงขัง” ซึ่งตนไม่ปรารถนาซ้ำเกลียดชัง แม้กรงจะเอื้อประโยชน์ให้ชีวิตได้มีที่ซุกหัวนอนอย่างกาดำกล่าว

แต่พิราบขาวก็ยืนหยัดยึดมั่นในเสรีภาพว่ายิ่งใหญ่กว่ามากเพียงใด

 

ถึงเวลา : นนทพัทธ์ หิรัญเรือง

๑.แม้ใบไม้ยังรู้มีการผลิผลัด จะฝืนสัจธรรมได้อย่างไรหรือ?

เมื่อยิ่งอยู่ยิ่งยุ่งเหยิงสุมเพลิงฮือ แล้วจะยื้ออยู่ไยให้ยืดยาว

นับแต่วันสิทธิ์ประชาชนถูกปล้นชิง เศรษฐกิจก็ล้มกลิ้งไปทุกก้าว

ยินไหมคนผู้ลำบากปากขมคาว เขาฝากข่าวประกาศมาว่าทุกข์ทน!

 

“หายใจเข้าเขาก็เร้าจะเอาดอก หายใจออกเขาก็เร้าจะเอาต้น

โอ้หันทิศใดหนอก็มืดมน หนี้ยังล้นทรัพย์ยังไร้ไปทุกทาง”

“แม้อยู่บ้านมองมิเห็นจะเป็นบ้าน เห็นแต่รายจ่ายบานอย่างไรบ้าง

ทั้งค่าน้ำค่าไฟสุมหญ้าฟาง ไฟรอจี้คือหนี้ค้างธนาคาร”

 

ข้าวและแกงก็แข่งขึ้นราคาขาย อดอยากเริ่มขยับขยายไปทุกย่าน

“การกินอยู่ใต้เกือกเผด็จการ แม้แต่ข้าวหนึ่งจานก็หนักใจ”

ที่อยู่นาอยู่ไร่ไกลปืนเที่ยง แผ่นอกกร้านนั้นก็เพียงจะหม่นไหม้

“ราคาผลผลิตต่ำอยู่ร่ำไป ปลูกอะไรก็รวดร้าว…มิพ้นเลย”

 

๒.กระนี้สรรพาวุธยุทโธปกรณ์ จะซื้อต้อนมาเต็มคลังอย่างไรเหวย

คงอีกนานศึกนอกจะงอกเงย ศึกปากท้องสิมันเย้ยรอการยุทธ์

กุมบังเหียนบริหารแล้วลงเหว หากยิ่งทำยิ่งล้มเหลว…ก็โปรดหยุด

เลิกทุบทึ้งประเทศไทยให้เซทรุด ด้วยอาวุธยุทธภัณฑ์อันเปล่าดาย

 

คืนประชาธิปไตยให้ประชา คืนความยุติธรรมมาอย่าบุ้ยบ้าย

คืนอำนาจให้มวลชนทั้งหญิงชาย คืนการกินอยู่สบายให้บ้านเมือง

แม้ใบไม้ยังรู้มีการผลิผลัด ถึงคราวรัฐเขียวคดต้องปลดเปลื้อง

ใครปล่อยปืนยืนอำนาจมานานเนือง ต้องคิดเรื่องที่จะไล่มันได้แล้ว!

เข้มข้นทุกคำทุกวรรคทุกบาททุกบท เหมาะสมที่จะนำเนื้อหาไปทำเพลงแร็พเสียนี่กระไร โปรดรออ่านตอนจบฉบับหน้า!