ทวีปที่สาบสูญ : เมื่ออามินลุกขึ้น โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์

ระริน…ได้ยินหรือเปล่า
บทเพลงฤดูหนาว ขับขานล่องไหล

วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว และแม้จะตะขิดตะขวงใจอยู่บ้าง ฉันก็อยากเรียกมันว่า เวลาที่ดีที่สุดครั้งหนึ่ง ในชีวิตของฉัน

อาจเพราะฉันมี “เธอคนนั้น” ที่คอยอยู่ใกล้ๆ เจ้าของผมถักเปียที่ชอบสวมเสื้อผ้าสีฟ้า เวลาร้อน เวลาเหนื่อย หน้าจะเรื่อปลั่งอย่างมะม่วงแก้มแดง เหงื่อซึมตามขมับ ยามลมพัดไล้ไรผม ถึงจะเห็นกันทุกวัน ฉันก็มองเธออย่างไม่เคยเบื่อหน่าย

…แบบนี้นะหรือที่เรียกว่าความรัก ฉันเคยยืนอยู่ในจุดที่เธอไม่ทันเห็น และเฝ้ามองทุกกิริยาเคลื่อนไหว อะไรนะ ทำให้เธอเปล่งประกายได้ถึงเพียงนั้น ยามยิ้ม โลกก็ยิ้มไปกับเธอจนพร่าพราย แต่ยามใดที่ตาคู่นั้นเปียกชื้น อกใจฉันก็หวั่นไหว

ใบไม้แห้งโปรยปลิวร่วงลงจากลำต้น บางใบ ตกหล่นลงติดกับเส้นผมของเธอ แลเห็นใบหน้าที่แหงนเงยขึ้นแล้วหัวเราะ สลัดหัว อามินยิ้มขบขัน ยื่นมือไปดึงออกให้

…ฉันรักภาพเหล่านั้นเหลือเกิน รักเธอ รัก…อย่างที่ไม่เคยรู้สึกขนาดนั้นกับใคร แม้แต่คนที่ผ่านมาในยามค่ำคืนมัวมนก่อนหน้า…เช่นแพรวพลอย

ย่อมเป็นเธอ ที่ทำให้ฉันผ่านมันมาได้อีกหลายค่ำคืนวัน จากวันที่มีสายฝนโปรย จนเราล่วงเข้าถึงหน้าหนาว

“หนาวจัง”

เด็กสาวถูมือเข้าหากันเร็วๆ แม้ไหล่จะถูกห่มไว้ด้วยเสื้อแจ็คเก็ตหนาเตอะก็ตาม ตัวฉันนั้นเล่า อามินยกเสื้อไหมพรมสีส้มตุ่นให้ใส่ และยังให้หมวกอุ่นอีกใบ

รอบด้านคือความมืดมนของยามราตรี มีเสียงแมลงกรีดร้องอยู่รอบๆ เซ็งแซ่ ไฟกองน้อยถูกจุดขึ้นกลางข่วงลาน อามินลากม้านั่งเตี้ยเข้ามา แล้วพาทุกคนเข้าล้อมวง

“ผิงไฟกันดีกว่า” อามินพูด

นางฟ้ารีบขยับเข้ามากองไฟโดยเร็ว แต่ยังเบียดเข้ากับคนตัวใหญ่อีก ฉันมองอย่างอดนึกอิจฉาไม่ได้

นับจากวันที่ได้ร่วมห้องเดียวกัน สุดท้ายฉันก็กลับมานอนที่เก่าเหมือนเดิม แม้อามินโวยว่าจะแยกห้องกันทำไมให้วุ่นวาย เป็น “พี่น้อง” กันแล้ว ดีเสียอีกจะได้พูดคุยปรึกษาหารือกัน

แต่ฉันก็ยังยืนยันว่า นอนอยู่โถงนอกดีกว่า ไม่อยากรบกวน “พี่ริน” ให้รำคาญใจ หรือจะให้ไปนอนเรือนเดียวกับหมู่คนงานก็ได้ ในที่สุดอามินจึงจัดห้องให้ใหม่ อยู่ถัดทางไปเรือนครัว ซึ่งฉันก็พอใจ

คงมีแต่ฉันเท่านั้นที่รู้ว่า ตัวเองต้องพยายามใจแข็งให้ได้ การอยู่ใกล้นางฟ้ามากเกินไป มันอันตรายเหลือเกิน

“เน หนาวมั้ย” นางฟ้าโยนเสียงถามมา

“ถามได้” อามินตอบแทน “ตัวสั่นแล้วมั้งนั่น…ขยับเข้ามาใกล้ๆ สิเน”

“ฮะ”

ฉันวางก้นลงบนตั่งเตี้ยอีกตัว เปลวไฟสีส้มลุกวูบวาบ กลิ่นควันลอยอ้อยอิ่ง

ช่างเป็นหน้าหนาวที่หนาวร้ายกาจสิ้นดี แทบจะเหมือนสมัยที่อยู่กับพ่อแม่ในกระท่อมฝากระดาษ ทุกๆ วัน ไม่กลางคืนก็เช้า เราต้องก่อกองไฟเพื่อเอาไออุ่น

เคยแก้มแห้งจนแตก ปากลอกเป็นขุยๆ เหมือนความเย็นอันไร้ความปรานี จะแทรกซึมเข้าได้ถึงในกระดูก

ยามนี้ก็หนาวใกล้เคียงคืนวันเหล่านั้น…หรืออาจจะหนาวกว่า ขนาดอามินยังต้องชวนลงมาก่อไฟ

“ยายจะทนหนาวได้มั้ย…” นางฟ้าเอ่ยขึ้นเบาๆ

“ได้สิ อาห่มผ้าให้เต็มที่แล้ว” อามินตอบ “ประตูหน้าต่างปิดหมด ถุงมือถุงเท้าอาก็ใส่ให้จนครบ…ไม่ต้องห่วงนะ”

“ค่ะ อา”

ผู้หญิงร่างใหญ่ดึงสาวน้อยให้เข้าซุกไหล่ ตบหัวเบาๆ อย่างประโลม ระรินเอนตัวพิงผู้เป็นอา และปรายตามาทางฉันแว่บหนึ่ง

นางฟ้า…เธอช่างน่ารักน่าถนอม หากฉันเป็นอามินก็คงยอมกอดเธอเอาไว้ตลอดเวลา

หรือจะให้ทำอะไรอีกก็ได้ ถ้ามันจะทำให้เธอรู้สึกดี

 

ฉันรู้สึกดีขึ้นมากจริงๆ นับแต่ได้มาอยู่ที่นี่ หลายคืนวันที่ฉันบอกกับตัวเองเช่นนั้น แม้ยายปันจะยังเป็นเพียงซากร่างนอนนิ่ง และทุกสิ่งในสวนก็เปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย

อามินลดงานลง ให้ลูกจ้างออกไปเสียส่วนหนึ่ง ฉันเพิ่งรู้ว่า งานแท้จริงของอามินกับยายปัน คือการค้าขายพืชผักผลไม้ในแต่ละฤดูกาล หน้ามะม่วงค้ามะม่วง หน้าลำไยค้าลำไย บางหน้าก็เป็นแตงพันธุ์ต่างๆ มะเขือเทศ หอมหัวใหญ่ หรือส้มจากสวน ทั้งของตัวเองและคู่ค้าที่ผูกกันมานาน พื้นที่ในบริเวณที่ฉันเห็นนั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสวนอันกว้างใหญ่ และยังมีสวนอีกหลายสิบไร่อยู่ในป่าดงดอย

แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา ยายปันเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักเคียงบ่าเคียงไหล่ ติดต่อเจรจาทั้งการซื้อการขาย วางบิล เก็บเงิน เป็นคนจัดการเรื่องจุกจิกทั้งปวง โดยให้อามินดูแลเป็นเรื่องๆ ไป เช่น การขนส่ง การคุมคนงาน การดูแลผลผลิตสวน

เมื่อขาดคนสำคัญ ปัญหาก็เริ่มทยอยเกิดขึ้นทีละอย่างสองอย่าง เวลาไม่นานนักที่ยายปันล้มป่วยลง แต่ทุกสิ่งสูญเสียความรื่นไหล แม้อามินเองจะพยายามปั้นหน้าว่าทุกอย่างเหมือนเดิม

ก็ไม่เหมือนเดิม

ฉันค่อยๆ รับรู้เรื่องราวเหล่านั้น จากการปะติดปะต่อบ้าง อามินเอ่ยปากเล่าให้ฟังบ้าง ซึ่งอามินจะพูดมากเป็นพิเศษเวลาที่กินน้ำเหล้าน้ำเบียร์ได้ที่

อีกอย่างที่เปลี่ยนแปลงคือ ตั้งแต่ยายปันนอนแซ่วเป็นอัมพาต อามินดื่มจัดขึ้นเรื่อยๆ

เช่นในคืนนี้ อาก็หนีบเอาขวดแบนๆ มาด้วย ยกกระดกเข้าคออยู่หลายที

“เน ร้องเพลงให้ฟังหน่อยสิ”

ดูจะเริ่มครึ้มๆ บ้างแล้ว อามินพเยิดหน้ามา

นางฟ้าปรายตา

“ไม่ล่ะฮะ” ฉันส่ายหัว “ร้องไม่เป็น”

“อะไรกัน ไหนว่าเคยไปเรียนซอมา”

ฉันเคยเล่าให้อามินฟังเล็กน้อย เกี่ยวกับชีวิตที่ผ่านมา ก็แค่บอกว่า เคยไปอยู่ที่ไหนมาบ้าง โดยไม่ได้บอกรายละเอียดที่มากกว่านั้นไป

ไม่ได้เล่า ว่าเคยผ่านพบสิ่งใด…และก็ยังวางใจ ว่านางฟ้าคงจะไม่บอกต่อ เพราะมีแต่เธอเท่านั้น ที่ฉันเคยพูดให้ฟังมากมาย

“…น่า ร้องหน่อย” อามินยังไม่ยอมเลิกรา อาจจะเพราะการดื่มของในขวดนั่นถี่ๆ ก็ได้

ยิ่งดึก กองไฟยิ่งลุกโชน น้ำค้างลง แต่อามินยังคงไม่ขึ้นเรือน

 

จะว่าไป ฉันก็ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่า กลายมาเป็นสมาชิกคนหนึ่งในบ้านอย่างจริงจังตั้งแต่เมื่อไหร่ เหมือนกับ…จะไม่ต้องไปที่ไหนอีกแล้ว เพียงถ้าเจ้าบ้านจะเอ่ยปาก ไม่ต้องถึงกับขับไล่ แค่ตั้งข้อสงสัยว่าจะไปหางานที่ไหนอีกหรือไม่ ฉันคงต้องรีบหาทางออกไป ไม่กล้าจะหน้าด้านอยู่กับเขา

แต่ยามถามอามินว่า จะให้ช่วยเหลือการงานตรงไหนอย่างไร หญิงร่างใหญ่ก็ตอบเสมอว่า ไม่เป็นไร ยังไม่มีงานเหมาะสมให้ เข้าในสวนก็เกะกะ จะเป็นภาระอุปสรรคคนอื่นอีก

“ตัวเท่าลูกหมา อาเลี้ยงได้”

เช่นเดียวกับระริน

“ถ้าอยากช่วย ก็ให้ช่วยกันดูแลผู้ป่วย ทำตัวให้สวยๆ น่ารักๆ คอยอยู่กินข้าวเช้าข้าวเย็นเป็นเพื่อนกัน นั่นก็พอแล้ว”

ฉันไม่ค่อยสบายใจ แต่ก็ค่อยๆ ปรับตัวได้ ความตั้งใจว่าจะไม่อยู่ให้เสียข้าวสุก จึงพยายามเต็มที่ มีอะไรช่วยได้จะรีบทำ จนเด็กสาวเองล้ออยู่บ่อยๆ ว่า จะขยันไปไหน

ฉันขอเอาเสื้อผ้าของอามินมาซักรีด ของยายปันก็จัดการให้ไม่รังเกียจ ผ้าซิ่นที่เลอะขี้เลอะเยี่ยว ถึงกระโถนซึ่งต้องคอยล้างคอยเช็ด ฉันก็ทำอย่างเต็มใจ

มันช่างต่างกัน ในวันเวลาที่ต้องทำเพราะการเป็นลูกจ้าง กับการพยายามจะทำทุกสิ่งให้ดีที่สุด เพื่อเป็นการตอบแทนจากหัวใจ

จึงแทบน้ำตาร่วง วันที่หยิบหมอนขึ้นตบ แล้วพบซองจดหมายแนบฟูกนอน อามินสอดสตางค์ไว้ถึงห้าใบแดง

มันเป็นใบแดงที่แสนจะมีค่า…มีราคามากที่สุด
“…มา ถ้าไม่ร้อง อาร้องเองก็ได้…ช้าง ช้าง ช้าง ช้าง ช้าง น้องเคยเห็นช้างหรือเปล่า…”

อามินโก่งคอเปล่งเสียง ระรินหัวเราะเสียงใส

“โธ่ อาคะ นึกว่าจะร้องเพลงอะไร”

“ทำไมล่ะ ไม่เพราะหรือ”

อามินถามทันควัน

“เพราะค่ะอา” นางฟ้าตอบ แล้วเบียดเข้าหาคนตัวใหญ่อีก พลางรั้งเอาขวดเหล้าไว้ “แต่อาชักเมาแล้วมั้ง ไปนอนดีกว่ามั้ยคะ”

“…อะไรกัน ว่าใคร หน็อย ใครผู้ใหญ่ ใครเด็ก” อามินคว้าขวดแบนกลับคืน ยกขึ้นกรอกลงคออีก “หนาวๆ แบบนี้ กินแล้วจะได้หลับสบาย ง่วงก็ขึ้นไปนอนกันก่อนเลย”

“จะรอไปพร้อมอา”

“เดี๋ยวอาตามไป…เน ง่วงก็พากันไปนอน”

ฉันมองหน้าเด็กสาว นางฟ้าก็แสร้งทำหน้าคว่ำ ดังว่าดูสิมีผู้ใหญ่งอแง แล้วยิ่งปักหลักไม่ลุกไปไหน

 

ฉันรู้สึกสบายใจอย่างมากในคืนนั้น แม้ในบ้านกลางสวนยังมีคนป่วยอยู่บนเรือนเหมือนทุกๆ วัน แหงนดูฟากฟ้า มีดวงดาวมากมายเรียงรายนับหมื่นแสนล้านดวง ฉันไม่อาจนับมันได้หมดสิ้น ลมหนาวพัดมาอีกเป็นระลอก แสงสีส้มจากกองไฟให้ความอบอุ่นเข้าไปถึงหัวใจ

สายตาเบือนไปสบกับคนที่นั่งในอ้อมกอดผู้หญิงร่างใหญ่ ระรินไม่จากบ้านสวนไปไหนอีกเลย ตั้งแต่เกิดเรื่องยายปัน อามินทั้งดุด่าว่ากล่าว จะไม่ยอมให้เสียอนาคตที่อุตส่าห์เรียนมา เด็กสาวก็ดื้อรั้นว่าจะจัดการเอง

ฉันเคยถามเพราะอดสงสัยไม่ได้ ทางบ้านจะไม่ว่าหรือ หากหายตัวไปไหนนานๆ ทางบ้านไม่ไปสอบถามกับทางกรุงเทพฯ หรือไร

เด็กสาวตอบเพียงว่า ที่คิดว่าเขาใส่ใจ ไม่ใช่อย่างที่เห็นเสมอไป บางที ถึงเธอหายสาบสูญไป นอกจากบ้านสวนนี้แล้ว อาจไม่มีใครตามหา

ฉันถามเธอว่า ทำไม

เธอตอบว่า ก็เพราะคนเรามีหัวใจที่ไม่เหมือนกัน ตัวฉันน่าจะรู้ดี

ฉันรู้สึกจริงๆ นะว่า คำพูดของเธอเป็นดั่งบทกวี และในถ้อยคำที่ฉันไม่เข้าใจ กลับยิ่งทำให้ฉันรักและหลงใหลในตัวเธอมากขึ้น นางฟ้า…จะมีใครในโลกนี้ มีอิทธิพลต่อฉันเท่านางฟ้า เธอผู้ปรากฏกายขึ้นมาในชีวิตคนจรหมอนหมิ่น

กระทั่งความสุขของฉันจบสิ้นลง เมื่ออามินลุกขึ้นแล้วสะดุดอะไรสักอย่างล้มลง หน้าฟาดลงในกองถ่านไฟ