โลกหมุนเร็ว / เพ็ญศรี เผ่าเหลืองทอง/Man and machine

โลกหมุนเร็ว / เพ็ญศรี เผ่าเหลืองทอง [email protected]

 

Man and machine

 

ไม่ว่าเราจะอยู่ในเจเนอเรชั่นไหน จะเป็นพวกเบบี้บูมเมอร์ 60 อัพ เจน x (อายุ 53-39) เจน Y (38-21) หรือเจน Z (อายุ 20 ลงมา) คงหนีไม่พ้นการอยู่ในโลกแห่งเทคโนโลยีที่หมุนไปเร็วมาก สิ่งใหม่ๆ เปลี่ยนไปทุกปี

ได้อ่านเรื่องนักธุรกิจหญิงชาวจีนคนหนึ่งเกิดในยุคปฏิวัติวัฒนธรรมจีน หัวก้าวหน้าเลยถูกขับออกจากประเทศจีน ไปต่อสู้ในอเมริกาจนได้เป็นผู้ประกอบการเทคโนโลยี

เจ้าของธุรกิจ 3D ที่ทำให้ปฏิวัติโฉมหน้าการผลิตชิ้นส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์หรือชิ้นส่วนรถยนต์หรือทันตกรรมให้เป็นแบบสั่งผลิตเฉพาะคนได้ ไม่ใช่แบบแมส

โลกกำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าเรื่องการสื่อสาร การแพทย์ การผลิต การออกแบบ การเงิน เทคโนโลยีเข้ามาอยู่ในชีวิตคนธรรมดาที่เดินดินกินข้าวแกง พูดไปทำไมมีแม้เรื่องการทำธุรกรรมการเงิน หรือการจ้างคนทำความสะอาดบ้าน เราก็กดเอาบนมือถือ ไม่ต้องพูดถึงการสั่งซื้อของทางแอพพ์ที่คนในเจน X, Y, Z คุ้นเคย

คนตกงานเพราะ machine เข้ามาแทนที่ เป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ คนต้องฝึกฝนทักษะใหม่ๆ ที่ machine ทำไม่ได้ถึงจะอยู่รอด

คนต้องทำงานศิลปะ เขียนนวนิยาย ฟ้อนรำ ทำอาหาร ร้องเพลง เล่นดนตรี เล่นละคร ปลูกต้นไม้ ทำการเกษตร ออกแบบเสื้อผ้า เครื่องใช้ ตกแต่งและออกแบบอาคารบ้านเรือน จัดสวน สิ่งเหล่านี้ machine ทำไม่ได้

 

ประสบการณ์ตรงเรื่อง Man and Machine ก็จะมีตัวอย่างที่ดีคือที่สนามบินชางงีที่สิงคโปร์

เปรียบเทียบกับที่สุวรรณภูมิ เราเดินเข้าไปเช็กอิน แล้วพนักงานก็ทำทุกอย่างให้ เราส่งกระเป๋าขึ้นสายพานไป แล้วมันก็เข้าสู่กระบวนการ นั่นเป็นการทำงานโดยมนุษย์ หรือ Man

ส่วนที่สนามบินชางงี เมื่อจะเช็กอินเราเดินไปที่หน้าเครื่อง และกรอกรายละเอียดลงไป เสร็จแล้วเครื่องจะพิมพ์ Boarding Pass ออกมา พร้อมกับพิมพ์แถบสติ๊กเกอร์สำหรับผูกติดไปกับกระเป๋าด้วย

มีพนักงานคนเดียวคอยช่วยเหลือหากมีปัญหา นี่เป็นเรื่องที่ Machine ทำงานแทนคน ใช้พนักงานบุคลิกป้าๆ คนเดียว แทนพนักงานหน้าแอร่มปากแดงหลายคนแบบที่สุวรรณภูมิ

เสร็จแล้วเราก็เข็นกระเป๋าที่มีสติ๊กเกอร์ผูกเรียบร้อยไปให้เขาเอ็กซเรย์ แล้วก็เข้าระบบส่งขึ้นเครื่องไป ที่เครื่องเอ็กซเรย์ก็มีพนักงานบุคลิกเหมือนลุงอยู่คนเดียว

Machine ทำให้ประหยัดเวลาไปแยะสำหรับผู้โดยสาร เราทำขั้นตอนทั้งหมดนี้เสร็จในไม่ถึง 15 นาที ไม่ต้องเข้าแถวยาว

Machine ทำให้สนามบินชางงีไม่ต้องจ้างคนมาก และยังเป็นคนที่อยู่ในระดับค่าแรงต่ำ ไม่ใช่สาวสวยจบปริญญา พูดภาษาอังกฤษปร๋อ

Machine สอนให้คนตื่นตัวและช่วยตัวเอง

 

คนไทยคุ้นกับการให้ man ช่วยแก้ปัญหา ไปไหนหาทางไม่เจอก็ถามคน แต่คนสิงคโปร์จะกดโทรศัพท์มือถือหาข้อมูล หรือไม่ก็ไปที่ machine เวลามีปัญหาอะไรเขาจะชี้ให้ไปดูที่ machine

เมืองนี้เขาทำข้อมูลกำกับสิ่งต่างๆ ไว้ชัดเจนดี ติดขัดอะไรก็ดูจากป้ายเอา ขึ้นรถเมล์ก็ใช้บัตรแตะ ใช้ machine อีกแล้ว ถ้าในบัตรเงินหมดต้องเตรียมเหรียญไว้ให้พอ อย่าได้ยื่นเงินสดให้ตามความเคยชินเพื่อให้เขาช่วยทอนมา เขาไม่มีการทอนให้หรอก เพราะพนักงานในรถเมล์มีคนเดียวคือคนขับ ไม่สามารถทั้งขับทั้งทอนได้

ที่คิดแล้วขันดีก็คือ เมืองสิงคโปร์นั้น machine ช่วยคน

แต่ส่วนเมืองไทยในหลายกรณีคนช่วย machine

เอ๊ะ มันยังไง ก็ลองไปที่บิ๊กซีสิคะ แต่ก่อนนี้พอเราขับรถเข้าไปถึงป้อม พนักงานก็ยื่นบัตรจอดรถให้เรา ขาออกเราก็ยื่นบัตรนั้นคืนให้เขาคิดเงิน

วันดีคืนดีมี machine มาตั้งอยู่ให้เรากดบัตร

แล้วต่อมาวันหนึ่งก็มีพนักงานผู้ชายมายืนอยู่ข้าง machine และกดบัตรส่งให้เรา คือแขนเรายื่นไปไม่ค่อยถึงปุ่มกด ลำบากลำบน อิหลักอิเหลื่อเหลือทน เขาเลยต้องไปจ้างคนมายืนกดบัตรส่งให้เรา

นี่ละค่ะที่ว่า “คน” ช่วย machine

ล่าสุด บิ๊กซี (สะพานควาย) เลิกใช้ machine แล้ว กลับมาใช้คนนั่งในป้อมเหมือนเดิม

 

ก็เป็นเหมือนหลายๆ กรณีในประเทศไทย ที่ต้องโยน machine ทิ้งไป เพราะมันไม่เวิร์ก งบประมาณที่ลงทุนไปสูญเปล่า เพราะคนไม่พร้อม

การใช้ machine ถ้าพูดแบบยอมรับความจริงคงต้องเริ่มที่คนรุ่นใหม่ ถ้าหากรุ่นเก่า (เบบี้บูมเมอร์) จะหัดใช้บ้างก็ให้เริ่มจาก grab เรียกแท็กซี่ไปก่อน ใช้ง้าย ง่าย ต่อมาก็แอพพ์ใช้เรียกแม่บ้านรายวัน ตัดปัญหาการดูแลให้อาหารและที่อยู่แม่บ้านที่อยู่ประจำ ต่อมาก็ขยับใช้ลาซาดา หรือช้อปปิ้งซื้อของใช้ เพราะยิ่งอายุมาก ไปไหนมาไหนก็จะลำบากขึ้นทุกที

หัดใช้ machine ยังไม่สายเกินไปสำหรับเบบี้บูมเมอร์หรอกค่ะ