ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 9 - 15 พฤศจิกายน 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | รักคนอ่าน |
เผยแพร่ |
ฉันกำลังเขียนงานชิ้นนี้ในท่านอน
ฉันไม่มีคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะแบบตั้งโต๊ะหรือพกพา ไม่มีทีวี ไม่มีผู้จัดการส่วนตัว
มีหลายครั้งที่ฉันรู้สึกว่าควรจะทำตัวให้ดีกว่านี้ สร้างเครือข่ายติดต่อกับผู้คนดีๆ ที่อยู่รอบตัวมากกว่านี้ ออกไปทำอะไรอะไรให้ได้มากกว่านี้
แต่ก็ไม่ทำ
ใครถามก็จะบอกว่าไม่สะดวก รถติด ไปยาก ไปแล้วดื่มไม่ได้ ไปแล้วต้องรีบกลับ งานยังไม่เสร็จ ง่วง หรือกินยาไปแล้ว
มีหลายครั้งที่ฉันคิดว่า หรือเราควรจะมีครอบครัว มีลูก เลี้ยงหมา จัดห้องใหม่ หรืออะไรแบบนี้
แต่ก็ไม่ทำ
สาเหตุหลักๆ รวมๆ น่าจะมาจากคำคำเดียวคือ
-ขี้เกียจ-
ความได้ขี้เกียจถือเป็นพรอย่างหนึ่งของชีวิต คุณต้องจัดการธุระให้ได้มากพอ ปลอดจากห่วงโซ่พันธกิจต่างๆ พอประมาณ ถึงจะมีเวลาให้ขี้เกียจได้บ้าง
ฉันนึกภาพไม่ออกว่า ถ้าทำสิ่งที่อยากทำทั้งหมดที่กล่าวไปข้างบนนั้นได้อย่างไร ถ้าใจยังอยากขี้เกียจอยู่
ยอมรับก็ได้ว่ามันอาจจะพ่วงด้วยเหตุผลอื่นๆ มากมายที่ฟังเข้าท่ากว่าความขี้เกียจ แต่สุดท้ายก็มาจบตรงนี้อยู่ดี
เออ ขี้เกียจจัง
หลายคนบอกว่าทำอะไรเยอะแบบนี้ก็ไม่ขี้เกียจแล้ว
ก็จริงนะ, แต่คำว่า “ทำอะไรเยอะ” ในที่นี้ ฉันจัดทุกอย่างให้เป็นเรื่องจำเป็นทั้งสิ้น งานการ ชีวิต ไปเที่ยวนี่ก็เรื่องจำเป็น การนอนแถกเหงือกตีแปลงอยู่บนเตียงก็เป็นเรื่องจำเป็น
จำเป็นเท่าๆ กับการเตรียมตัวไปทำงาน อ่านบท และตั้งนาฬิกาปลุกแต่เช้าตรู่
“ความขี้เกียจเป็นทัศนคตินะ ไม่ใช่การกระทำ” ทีปกรบอกฉันแบบนี้
ทีปกรทำหลายอย่างมากในชีวิต และรับผิดชอบได้ดีจนฉันรู้สึกว่า, คนแบบนี้มันบอกว่าตัวเองเป็นคนขี้เกียจได้ยังไง (วะ)
คนขี้เกียจแบบไหนที่เขียนหนังสือว่าด้วยความขี้เกียจออกมาได้เล่มหนึ่ง
ถ้าขี้เกียจจริงก็นั่งทำสมุดไปสิ
ว่างๆ เปล่าๆ ใครอยากเขียนอะไรก็เขียน
ซึ่งเอาจริงๆ แค่ให้ลุกมานั่งทำสมุดเอง คนขี้เกียจของแท้ ก็ต้องโอดครวญว่าขี้เกียจทำด้วยซ้ำ
จนกระทั่งทีปกรอธิบายว่า ความขี้เกียจเป็นสาเหตุให้เขาวางแผนล่วงหน้าว่าจะต้องทำงานอะไรให้คุ้มค่าคุ้มเวลาที่สุด
เพื่อจะเอาเวลาที่เหลือไปขี้เกียจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“หลายครั้ง ไอ้ “แค่ทำ” ก็ดีกว่าไม่ได้ทำเลย และหลายๆ ครั้ง ไอ้ “แค่ทำ” ก็ออกมาดีกว่าที่คิดด้วยซ้ำ โดยเฉพาะกับงานที่มีความเกร็งสูง อย่างเช่น การพูดต่อหน้าสาธารณชน หรือการคิดอะไรที่สร้างสรรค์
อย่าไปเกร็งจนเป็นภัยต่อตัวเองมาก ขอแค่ให้งานออกมา ห่วยก็ได้ ไม่มีใครว่า
และเชื่อมั่นในตัวเองหน่อย
ว่าห่วยของเราก็คงไม่ได้ห่วยเกินไปหรอก”*
หนังสือ #ทีมขี้เกียจ ไม่ได้ขี้เกียจแบบที่เราคิด ผู้เขียนไปหาสารพัดเหตุผลมาว่าด้วยความขี้เกียจ จนเราที่นอนขี้เกียจๆ อ่านหนังสือเล่มนี้ไปด้วยรู้สึกละอายขึ้นมานิดๆ
เลยลุกขึ้นมาเขียนคอลัมน์นี้ได้นั่นแหละ
“#ทีมขี้เกียจ” เขียนโดยทีปกร วุฒิพิทยามงคล ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 1 เดือนตุลาคม, 2561 โดยสำนักพิมพ์แซลมอน
*ข้อความจากในหนังสือ