จัตวา กลิ่นสุนทร : การ “เลือกตั้ง” อารมณ์ของผู้คน และ “กัญชา”

สะบัดสะบิ้ง เลื่อนแล้วเลื่อนอีกจนกระทั่งจนมุมเลื่อน “เลือกตั้ง” เพื่อคืนอำนาจให้ “ประชาชน” ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เพราะโลกกระชับล้อมเข้ามา ยืดต่อไปอีกคงไม่มีใครคบค้า

ขณะเดียวกันอารมณ์ของคนในประเทศกำลังจะหมดความอดทน ใกล้ถึงจุดเดือดเต็มที

เรื่องอารมณ์ของคนในประเทศนี้ไม่มีใครกล้ารับประกันได้ว่าจะพัดพาไปสู่แห่งหนไหน

อาจบานปลายเกิดเรื่องลุกลามใหญ่โตชนิดไม่ได้คาดฝันแบบคิดไม่ถึงหากมันเดินทางมาถึงจุดหมดสิ้นความอดทน

แปลว่าคงจะเป็นเหตุการณ์ซึ่งไม่มีใครปรารถนาให้มันเกิดขึ้น แต่ถ้าหากว่าอะไรจะเกิดมันย่อมต้องเกิดถ้าหากถึงเวลาอยู่เหนือการควบคุม

ประเทศนี้ผ่านการเปลี่ยนแปลงด้วยการ “ปฏิวัติ-รัฐประหาร” ใช้กำลัง “ทหาร” เข้า “ยึดอำนาจ” จากรัฐบาลมาเป็นเวลานานมากแล้ว ไม่อยากจะนับอย่างละเอียด เพียงแต่แค่จำได้ว่ามีจำนวนมากกว่า 10 ครั้งขึ้นไป

แต่คณะทหารที่ทำการหมุนเวียนเข้ามายึดอำนาจที่ผ่านๆ มามีเพียงไม่กี่คณะที่ต้องการครองอำนาจให้ยาวนาน

ส่วนมากจะใช้เวลาไม่นานในการจัดระเบียบ ขจัดฝ่ายตรงข้ามทำบางสิ่งบางอย่าง แล้วคืนอำนาจให้กับประชาชนเจ้าของประเทศ

 

แต่สำหรับคณะปฏิวัติชุดล่าสุด “คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ” (คสช.) ซึ่งยังโลดแล่นอยู่ในอำนาจขณะนี้ พร้อมทั้งกำลังดำเนินการเพื่อครองอำนาจเบ็ดเสร็จเพื่อบริหารประเทศต่อไปเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่บอกกับประชาชนเจ้าของประเทศถึงขนาดแต่งเป็นเพลงร้อง ว่าขอเวลาอีกไม่นานจะคืนความสุข กระทั่งถึงขณะนี้เดินทางเข้าสู่ปีที่ 5 ยังคงหาความชัดเจน ความมั่นใจไม่ได้กับการ “เลือกตั้ง” ทั่วไป

นอกจากความสุขไม่เคยได้คืนยังเปลี่ยนเป็นเพิ่มความทุกข์ขึ้น โดยเฉพาะกับเรื่องการทำมาหากิน เรื่อง “เศรษฐกิจ” ราคาพืชผลทางการเกษตร ซึ่งเป็นอาชีพหลักของคนส่วนใหญ่ในประเทศ รวมทั้งสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก สิ่งที่ยกมากล่าวล้วนเป็นเชื้อนำไปสู่อารมณ์เดือด โดยเฉพาะกับคนชั้นล่าง คนยากจน

ใช้เวลาเกือบ 5 ปีวางแผนดำเนินการต่างๆ ตั้งแต่ยุบองค์กรอิสระที่ไม่ใช่พวกของคณะตนเพื่อจัดเอาประเภทสั่งได้ยินดีรับใช้สนองตอบเพื่อตำแหน่งหน้าที่การงาน ซึ่งนำไปสู่ผลประโยชน์ด้านเงินทองเข้ามาดำเนินการ แต่ละเว้นบางหน่วยงานซึ่งเป็นคนของตนเองให้อยู่ทำงานต่อไป

จัดทำกฎหมายใหญ่ๆ สำคัญๆ ในการบริหารประเทศ โดยเฉพาะ “รัฐธรรมนูญ” ขึ้นใหม่ แต่เมื่อเดินหน้าไปสักระยะเห็นท่าว่าจะอยู่ยาวไม่ได้ก็ช่วยกันวางแผนร่วมกับพวกยินดีรับใช้ล้มเลิกไปเสีย เพื่อหากลุ่มคนที่ยินดีร่วมมือเข้ามาดำเนินการกันใหม่

นอกจากจะซื้อเวลาต่อมายาวนานยังวางแผนเพื่อเอาเปรียบคู่ต่อสู้ในทางการเมืองอย่างไม่อับอาย

ใช้อำนาจกดทับฝ่ายการเมือง วางสายแยกขั้วสลายกลุ่มให้เข้ามาสนับสนุนฝ่ายตนเอง หรือฝ่ายที่จะทอดอำนาจอย่างน่าเกลียด ซึ่งความจริงคนที่อยู่ในอำนาจ มีอำนาจรัฐเป็นเครื่องมือสนับสนุน มีข้าราชการทั้งประเทศเป็นลูกน้องผู้ใต้บังคับบัญชา แต่ทำไมยังกลัวว่าจะ “แพ้เลือกตั้ง” ซึ่งอันที่จริงแล้วกลุ่มที่อำนาจรัฐมีทุกสิ่งทุกอย่างในมือ เงินงบประมาณแผ่นดินซึ่งเป็นเงินของประชาชน สามารถจะอนุมัติใช้จ่ายลงไปเหมือนเป็นการหาเสียงแบบตรงๆ ย่อมเป็นต่อได้เปรียบฝ่ายตรงข้ามที่เรียกว่าคู่ต่อสู้ในสนามการเลือกตั้ง

ขณะเดียวกันยังมีตัวช่วยเป็น “สมาชิกวุฒิสภา” อีกจำนวน 250 เสียงซึ่งมีสิทธิ์ยกมือสนับสนุนให้นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ได้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปอีก เพียงแต่ว่าวุฒิสมาชิกเหล่านี้ไม่ได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ไปยกมือสนับสนุนกฎหมายอื่นๆ ไม่ได้

 

จนถึงวันนี้ วันที่ประชาชนคนทั้งประเทศรู้อยู่เต็มอกว่า เขาอยากไปต่อ อยากอยู่ยาวๆ ต้องการเป็น “นายกรัฐมนตรี” แหม-แต่ควรจะมาจากการเลือกตั้งให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยชายชาติทหาร จะได้สง่างาม แต่เจ้าตัวกลับยังไม่บอก ไม่เปิดตัว แต่ขยันหาเสียงเป็นอย่างยิ่ง ทำทุกอย่างได้มากยิ่งกว่านักการเมืองอาชีพ แต่ปากก็บอกว่าไม่ได้หาเสียง เป็นการทำงานเพื่อประชาชน?

เหมือนกันกับคณะรัฐมนตรีของท่านที่กอดคอกันตั้งพรรคการเมืองขึ้นมา แต่ไม่ยอมลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี (ลาออกแล้วใครจะมาเป็น เงินเดือนกลับหดหายไปอีกด้วย) กลุ่มพรรคนี้ก็ขยันหาเสียงทุกวันเสาร์-อาทิตย์ แต่เขาบอกว่าไม่ได้ใช้เวลาราชการไปหาเสียงนะ ไม่ได้เอาเปรียบพรรคการเมืองอื่นๆ หรอกนะ (ประชาชนโง่มาก)

พรรคการเมืองอื่นๆ ก็ออกเดินหาเสียงแบบว่าคารวะแผ่นดินในทุกวัน หรือในรูปแบบต่างๆ ทั้งที่ “ผู้มีอำนาจ” ยังไม่ได้ “ปลดล็อก” ทางการเมืองจนพรรคการเมืองหาเสียงได้อย่างเสรี

โครงการใหญ่ๆ กฎหมายสำคัญๆ หลายฉบับถูกเร่งรีบเข็นออกมาจากคนกลุ่มเดียวที่ไม่ได้รับเลือกตั้งจากประชาชน ทำให้ห่วงกังวลกันเป็นอย่างมากในอนาคตว่าหากไม่รอบคอบเกิดความผิดพลาดบางประการจะสร้างความเสียหายกับประเทศชาติ ยากแก่การแก้ไข แต่มิได้หมายความว่าจะเกินความสามารถของประชาชน

เหมือนอย่างรัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งเป็นที่รู้กันว่านักร่างกฎหมายได้วางกรอบการแก้ไขไว้อย่างยากยิ่ง เพื่อจะได้ใช้บังคับแบบผูกขาดสำหรับกลุ่มที่ต้องการกุมอำนาจในการบริหารประเทศตลอดไป ซึ่งว่ากันว่าไม่มีความเป็นประชาธิปไตย ประชาชนไม่มีส่วนร่วม

แต่อย่างน้อยก็มีพรรคการเมืองซึ่งก่อตั้งใหม่ โดยคนรุ่นใหม่ประกาศตัวแล้วว่าจะต้องแก้ไข “รัฐธรรมนูญ” ให้เป็นของประชาชน

 

เอากันตรงๆ บ่นกันต่อไปว่าที่ยังอยู่ในอำนาจได้นั้นเป็นเพราะประชาชนมีความอดทนอดกลั้นมาก

และเขาคิดว่าคณะทหารจะเก่งในการบริหารประเทศ ไม่ได้เก่งแต่แค่การ “ยึดอำนาจ”

คิดว่าจะประสานความสามัคคีได้แต่กลับกลายเป็นตรงกันข้าม

ทุกวันนี้ใครพรรคไหน ใครเป็นพวกใครสนับสนุนใคร ประชาชนคงไม่โง่ เพราะเขาไม่ได้กินแกลบ เขาก็กินข้าวเหมือนคนทั่วๆ ไป

อีก 100 กว่าวันจะถึงวัน “เลือกตั้ง” ทั่วไป

ประชาชนต้องการอะไรก็ทำตามใจปรารถนา

ต้องการรัฐบาลปัจจุบัน ชอบ “เผด็จการ” ก็เลือกพรรคที่ประกาศตัวสนับสนุน “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา”

ถ้าไม่ต้องการ จงเลือกพรรคการเมืองที่ตรงกันข้าม ซึ่งเขาประกาศนโยบายอย่างชัดเจนอยู่แล้ว

ประชาชนทั่วไปคงเข้าใจได้ไม่ยาก และคงลงคะแนนไม่ผิด

 

เมื่อขณะยังศึกษาในมหาวิทยาลัย ซึ่งขึ้นชื่อว่าเอาแต่เรื่อง “ศิลปะ” ไม่ค่อยสนใจเรื่องอื่นๆ รอบตัวมากนัก มีความคิดอิสระ ชอบพอการดื่มการเสพค่อนข้างมากพอสมควร แต่ดูเหมือนว่าเป็นไปเพื่อสันทนาการ เพื่อความสุขสนุกสนานไม่ถึงกับเสพติด พืช “กัญชา” นับได้ว่าเป็นของคู่กันเลยทีเดียว ซึ่งมันหาซื้อได้ไม่ยากตามร้านขายยาทั่วๆ ไป

เราใช้มันยำเข้ากับบุหรี่ด้วยความอุตสาหะก่อนมีความสุขกับมันอย่างละเมียดละไม เพื่อนบางคนหลังจากได้สูบกัญชาแล้วชอบปีนขึ้นไปนั่งบนต้นไม้ บางทีไปเที่ยวภูเขา เที่ยวทะเล เกาะต่างๆ ด้วยกัน เมื่อจะกินข้าวเปิดปลากระป๋องขึ้นมา “บุปผาชน” ผู้เสพพืช “กัญชา” ถึงกับร้องไห้โฮด้วยความกลัว แต่ไม่เคยสร้างปัญหาให้กับสังคม ไม่มีคดีอาชญากรรมนอกจากความบันเทิงเริงรมย์

ท่านอาจารย์หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช (ซึ่งดูเหมือนว่าคนรุ่นใหม่ทำท่าจะเลือนๆ ชื่อท่านไป) อดีตนายกรัฐมนตรี (คนที่ 13) ของประเทศนี้ ท่านเป็น “บุคคลสำคัญของโลก” ไม่ทราบเหมือนกันว่าใครไปเอาบ้องกัญชาสวยงาม ติดเหรียญประดับเต็มไปหมดทั้งบ้องมอบให้กับท่าน วันดีคืนดีท่านชวนลูกศิษย์ไปสูบ “กัญชา” เมากันอ้วกแตกอ้วกแตน

นักการเมืองระดับชาติ เป็นผู้แทนรวมทั้งเป็นนักธุรกิจของประเทศไทย เคยถูกทางการสหรัฐอเมริกาต้องการตัวไปดำเนินคดีเนื่องจากเป็นผู้ค้ายาเสพติด “กัญชา” แต่คดีได้สิ้นสุดไปนานนักหนาแล้ว

ทุกวันนี้ “กัญชา” เป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายในสหรัฐอเมริกา แคนาดา แต่ใช้เฉพาะในวงการแพทย์ โดยใช้เป็นยาบำบัดโรคร้าย รวมทั้งรักษา–มะเร็ง

หลายประเทศยอมรับพร้อมปลดล็อก “กัญชา” ออกจากยาเสพติดเพื่อให้ใช้ได้ในวงการแพทย์ แต่ก็มีเงื่อนไขและการควบคุมต่างๆ เพราะของทุกอย่าง “มีคุณย่อมมีโทษ”

บ้านเรากำลังดำเนินการเพื่อทำให้กัญชาสามารถนำมาใช้ในทางการแพทย์ได้ ทั้งๆ ที่บ้านเรานั้นมีการปลูกการใช้กันมานากนักหนา และดูเหมือนจะมีพืช “กัญชา” ที่มีคุณภาพดีด้วยซ้ำ ควรหันมาสนับสนุนให้เกษตรกรสามารถปลูกได้ เพื่อเป็นการส่งออกเป็น “พืชเศรษฐกิจ” สำคัญ

เพียงแต่ต้องทำ “กฎหมาย” ให้รัดกุม ตรวจสอบดูแลอย่างรอบคอบละเอียดอ่อน