ผ่าคดี! เรื่องจริงยิ่งกว่าละคร สางคดีฆ่าพ่อ 20 ปีก่อน ลูกโตขึ้นเป็น ตร. ตามล่า-จับตัวสำเร็จ!

ราวกับละครเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว

สำหรับพล็อตเรื่องที่สุดแสนรันทด เริ่มตั้งแต่เด็กกำพร้าคนหนึ่งเกิดมาโดยไม่มีพ่อ เนื่องจากถูกคนร้ายลวงไปฆ่าอย่างโหดเหี้ยม

ต่อมาเด็กชายคนดังกล่าวเติบโตขึ้น ก็ได้สมัครเข้ารับราชการตำรวจ

ก่อนสืบสวนจนพบคนร้ายที่สังหารพ่อตัวเอง และติดตามจับกุมตัวได้สำเร็จ ก่อนที่คดีจะหมดอายุความเพียงไม่นาน

ใครจะเชื่อว่าเรื่องเหล่านี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ กับ “หมู่อาร์ม” ส.ต.ต.อัษฎาวุฒิ มากประดิษฐ์

ที่พ่อถูกสังหารเสียชีวิตตั้งแต่หมู่อาร์มอายุได้เพียง 1 ขวบ 5 เดือน จนเติบใหญ่ได้รับฟังเรื่องราว จึงมุ่งมั่นเข้ามาเป็นตำรวจ

ในที่สุดก็สามารถแจ้งเบาะแสจับกุมคนร้ายที่ฆ่าพ่อได้สำเร็จ

แม้เจ้าตัวจะยืนยันว่าคดีของพ่อไม่ใช่เหตุผลเดียวที่มาเป็นตำรวจ เพราะสนใจทุกคดีในความรับผิดชอบ

ทำหน้าที่ให้สมเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์

แต่เรื่องที่เกิดขึ้น ก็แสดงให้เห็นจริงๆ ว่า “ล้างแค้น 10 ปียังไม่สาย”

จับหนุ่มหนีคดีฆ่า 20 ปี

เรื่องราวชีวิตเหมือนบทละครครั้งนี้ เป็นที่รับรู้เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน โดย พ.ต.อ.จิรภพ ภูริเดช รรท.ผบก.ป. สั่งการให้ พ.ต.อ.ภูมินทร์ พุ่มพันธุ์ม่วง ผกก.5 บก.ป. นำกำลังจับกุมนายบุญฤทธิ์ ครุฑละออง อายุ 54 ปี อยู่บ้านเลขที่ 21 หมู่.2 ต.สลุย อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร

ตามหมายจับศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่ 786/2551 ลงวันที่ 22 กันยายน 2551 ข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธติดตัว ใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำความผิด โดยสามารถจับกุมได้ที่ริมถนนในหมู่บ้าน หมู่ 2 ต.สองพี่น้อง อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร

ทั้งนี้ พบว่าเมื่อวันที่ 5-6 ธันวาคม 2541 ช่วงที่นายประสิทธิ์ แซ่อื้อ และนายชาณี ทองหญีต ขับรถสิบล้อทะเบียน 80-4143 ชุมพร ไปรับจ้างบรรทุกไม้ยางของบริษัทเมโทร หมู่ 6 ต.ท่าข้าม อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี

แต่เมื่อไปถึงพบว่าไม่มีไม้ยางให้ขน แต่กลับพบนายบุญฤทธิ์พร้อมพวกดักรออยู่ แล้วทำทีว่าจ้างให้ไปบรรทุกทราย แต่ทั้งคู่ปฏิเสธ นายบุญฤทธิ์จึงใช้มีดจี้บังคับทั้งสองขึ้นรถกระบะ โดยใช้ถุงพลาสติกคลุมศีรษะไปตลอดทาง

จากนั้นนายบุญฤทธิ์ใช้มีดแทงนายประสิทธิ์และนายชาณีเสียชีวิต ก่อนนำศพไปทิ้งไว้ที่สระน้ำริมทางบ้านท่าตะเภา ต.ท่าข้าม อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี

ต่อมาเมื่อเดือนกันยายน 2551 หลังจากเหตุการณ์ผ่านไปถึง 10 ปี ก็มีคนไปพบศพทั้งคู่ในสภาพเหลือแต่กระดูก จึงแจ้งพนักงานสอบสวน สภ.พุนพิน พร้อมขออำนาจศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี ออกหมายจับลงวันที่ 22 กันยายน 2551 ซึ่งคดีกำลังจะหมดอายุความในวันที่ 2 ธันวาคม 2561

ขณะที่นายบุญฤทธิ์ยอมรับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับจริง ซึ่งหลังจากที่ทราบว่าตัวเองมีหมายจับก็ไม่ไปทำบัตรประชาชนอีก

ส่วนพฤติการณ์ของคดียังคงให้การปฏิเสธ ขอต่อสู้คดีชั้นศาล

เจ้าหน้าที่จึงคุมตัวส่ง สภ.พุนพิน เจ้าของพื้นที่ที่เกิดเหตุ เพื่อสรุปสำนวนส่งฟ้อง ซึ่งจะทันก่อนที่คดีหมดอายุความในวันที่ 2 ธันวาคมนี้

สู้กันต่อในชั้นศาล

ที่แท้ฝีมือ “หมู่อาร์ม” ลูกเหยื่อ

อย่างไรก็ตาม กรณีดังกล่าวถูกพูดถึงกันอย่างกว้างขวาง เมื่อเบื้องลึกของคดีพบว่าเกิดจากการสืบสวนของผู้หมู่หนุ่ม เพิ่งบรรจุรับราชการได้ไม่นาน ที่ชื่อว่า ส.ต.ต.อัษฎาวุฒิ มากประดิษฐ์ ผบ.หมู่ กก.ปพ.บก.สส.บช.ภ.8 หรือหมู่อาร์ม ที่สำคัญก็คือ หมู่อาร์มเป็นลูกชายของนายประสิทธิ์ที่เป็นเหยื่อฆาตกรรมโหดครั้งนี้

โดยขณะที่พ่อถูกฆ่านั้น หมู่อาร์มอายุได้เพียง 1 ขวบ 5 เดือน เมื่อโตขึ้นก็สอบถามแม่ว่าพ่อหายไปไหน แต่แม่ไม่บอกว่าพ่อถูกฆ่า จนกระทั่งรบเร้าหลายครั้งจนแม่ยอมบอกความจริง พร้อมบอกความฝันของพ่อว่าอยากให้เป็นนายร้อยตำรวจ จึงมุ่งมั่นสอบเข้าตำรวจให้ได้ตามที่พ่อคาดหวัง

จนกระทั่งเมื่อปี 2560 ตนสอบเข้าโรงเรียนนายสิบตำรวจได้ จึงไปสอบถามตำรวจเก่าๆ และญาติที่รู้เรื่องพ่อ จนทราบว่าคดีนี้มีผู้ต้องหา 3 ราย ถูกจับกุมไปแล้ว 2 ราย ยังเหลือเพียงนายบุญฤทธิ์ที่ยังหลบหนีไปยังประเทศมาเลเซีย

เมื่อสืบสวนพบว่านายบุญฤทธิ์เป็นลูกน้องนักการเมืองท้องถิ่นรายหนึ่ง รู้จักกับนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่หลายคน เมื่อกลับมาจากกบดานที่มาเลเซีย ก็มารับจ้างขับรถไถที่สวนปาล์ม หมู่ 2 ต.สองพี่น้อง อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร

จึงประสานให้เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปรามเข้าจับกุม โดยไม่กล้าบอกตำรวจท้องที่เพราะกลัวข่าวรั่ว เนื่องจากก่อนหน้านี้ชุดสืบสวน กก.5 บก.ป. ไปตามจับแล้ว แต่ผู้ต้องหารู้ทัน หลบหนีคดีไปก่อน

หมู่อาร์มยังเปิดเผยอีกว่า อย่างไรก็ตาม ต้องชี้แจงว่า ที่มาเป็นตำรวจเพราะความชอบ และทำตามเจตนารมณ์ของพ่อ ไม่ใช่เข้ามาเพื่อทำคดีนี้โดยเฉพาะ หลังจากบรรจุเป็นข้าราชการตำรวจเมื่อกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาก็ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชา

ซึ่งการติดตามจับกุมคดีนี้ก็เป็นไปตามนโยบายที่ให้ติดตามผู้ต้องหาตามหมายจับในคดีค้างเก่า โดยเฉพาะรายที่ใกล้หมดอายุความ

ส่วนหลังจากนี้ก็ต้องว่ากันไปตามกระบวนการ หากกระทำผิดจริงก็ต้องรับโทษตามกฎหมาย หากไม่ได้กระทำ ก็ต้องให้ความเป็นธรรม

ยืนยันภาคภูมิใจกับอาชีพตำรวจ และปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัด

ยึดถือกฎหมาย ไม่ใช่การล้างแค้นส่วนตัว!!?

แม่ปลื้มลูกเป็น ตร.ที่ดี

ขณะที่นางรัชนี มากประดิษฐ์ แม่ของหมู่อาร์ม ย้อนถึงนาทีที่สามีหายตัวไปอย่างลึกลับและไม่มีวันกลับมาอีกว่า ยังจำได้ดีว่าวันที่ 4 ธันวาคม 2541 สามีคือนายประสิทธิ์ ออกไปพร้อมกับพี่เขยคือนายชาณี ขนไม้ไปส่งที่สุราษฎร์ธานีช่วงบ่าย จากนั้นก็ติดต่อกันไม่ได้ จนกระทั่งวันที่ 6 ธันวาคม ทางบริษัทท่าแซะค้าไม้โทรศัพท์มาแจ้งว่ารถบรรทุกสิบล้อคว่ำ แต่ไม่ได้บอกว่าสามีเป็นอะไร

เวลาผ่านไปเป็นสัปดาห์ ก็ไม่มีข่าวอะไร จนกระทั่งผ่านไปครึ่งเดือน มีคนนำภาพจากหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งมาให้ดู พร้อมถามว่านี่คือรูปสามีใช่ไหม ก็ตกใจ เพราะสามีถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยมทารุณ ถูกมีดปาดคอ มัดมือไพล่หลัง ถุงพลาสติกคลุมหัว

ตอนนั้นเหตุการณ์เกิดใกล้เคียงกับอุบัติเหตุเครื่องบินตกที่สุราษฎร์ฯ ต้องตรวจสอบศพกันอยู่นานถึงจะได้ศพไปทำพิธี กว่าจะได้เผา ก็ล่วงไปอีกกว่าสิบวัน

ส่วนเรื่องคดีหลังจากนั้น ก็ทราบว่าตำรวจสามารถจับกุมคนร้ายได้ 2 คน แต่ก็ยังมีคนที่หนีรอดอยู่ ตนก็ได้แต่ทำมาหากินเลี้ยงลูกคนเดียว ส่งเสียเขาจนเรียนจบ ให้สอบเข้าเป็นตำรวจได้ตามความฝันของพ่อเขา ซึ่งก็คงไม่เกี่ยวกับเรื่องล้างแค้น หรือจะมาตามจับฆาตกรที่ฆ่าพ่อ

หลังจากที่ลูกเป็นตำรวจ แล้วไปรื้อคดีพบว่านายบุญฤทธิ์มีชื่อตามหมายจับของ สภ.พุนพิน ที่สำคัญก่อนหน้านี้นายบุญฤทธิ์เคยมาป้วนเปี้ยนที่บ้าน มาตะโกนหาตอนดึก เรียกชื่อเรา เรียกชื่อลูก เราก็ไม่กล้าออกไป

จึงแจ้งให้ลูกชายทราบ ก็ใช้เวลาสืบสวนอยู่ประมาณ 2 เดือน ตามทะเบียนรถ หาจุดที่นายบุญฤทธิ์พักอาศัย จนรู้ว่ามารับจ้างขับรถไถให้สวนปาล์ม จึงประสานตำรวจกองปราบฯ จับกุมได้

ส่วนคดีหลังจากนี้เป็นอย่างไรก็แล้วแต่กระบวนการยุติธรรม

แต่วันนี้ก็ภาคภูมิใจกับลูกชายที่เป็นตำรวจได้สำเร็จตามความตั้งใจ

และสามารถปิดคดีพ่อได้สำเร็จ