จรัญ พงษ์จีน : รธน.บีบคอ “เพื่อไทย” ให้แบ่งเซลล์

จรัญ พงษ์จีน

เพราะกฎ-ข้อบังคับของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ พ.ศ.2560 ฝีมือประติมากรรมอันเยี่ยมฉมังของ “ปู่มีชัย ฤชุพันธุ์” หมวด “สภาผู้แทนราษฎร” เขียนสคริปต์ หมายเตะสกัดพรรคใหญ่ไม่ให้เกิดสภาพแลนด์สไลด์ หรือ “หิมะถล่มทลาย”

คุมกำเนิดตามหลักเกณฑ์และวิธีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งออกแบบมาด้วยการ “จัดสรรปันส่วนผสม” ระหว่างเขตเลือกตั้งและบัญชีรายชื่อ ทุกคะแนนมีความหมายไม่เสียเปล่า

ให้นำคะแนนเสียงทั้งหมดที่ทุกพรรคการเมืองได้รับจากทุกภาคมารวมกันเพื่อคำนวณหาจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร “บัญชีรายชื่อ” ตามสัดส่วนที่แต่ละพรรคการเมืองนั้น “พึงมี”

คอการเมืองล้วนพากันเดาออกบอกถูกว่า ออกแบบรัฐธรรมนูญมาเอื้อประโยชน์กับพรรคการเมืองขนาดเล็ก สกัดพรรคใหญ่ โดยเฉพาะ “พรรคเพื่อไทย”

แกนนำพรรคเพื่อไทยไม่ได้กินแกลบ ย่อมอ่านหนังสือออก รู้ว่าเขาเขียนกับดัก ออกจะไม่ปลอดภัย เลยไหวตัวทัน งัดสูตร “แตกแบงก์พัน” ยลตามช่องรัฐธรรมนูญ

จึงแตกกิ่งก้านสาขา จดแจ้ง ช้อนซื้อหัวพรรคการเมืองมากันเหนียวเป็นว่าเล่น

คนที่เคยสูญเสียมาแล้วหลายครั้ง ย่อมมีแผนป้องกันการสูญเสียซ้ำซาก โอกาสเดียวกันก็วางแผนแก้หมากหลายบริบท

ดังที่ทราบก่อนหน้านี้ ถูกขู่ฟอดว่าจะ “ยุบพรรค” กรณีแกนนำร่วมกันแถลงข่าว คสช.ครบรอบ 4 ปี ถูก “คสช.” ย้อนศรแจ้งความเอาผิดฐานฝ่าฝืนประกาศ คสช. ที่ห้ามชุมนุมทางการเมือง-ผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์-ยุยงปลุกปั่นประชาชน

“พรรคเพื่อไทย” ลูกข่ายเก่าของ “ไทยรักไทย-พลังประชาชน” ถูกยุบมาแล้วสองครั้งซ้อน โอกาสที่จะโดนสอยอีกคำรบ ย่อมเกิดขึ้นได้ ประเทศไทยอะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น ไม่มีใครจะรับประกันได้ว่าจะไม่เกิดขึ้นอีก

จึงแก้เกมงัดทฤษฎี “แตกแบงก์พัน” มารองรับ ด้วยการจัดตั้งพรรคการเมือง “ตระกูลเพื่อ” ไว้สำรอง กรณี “เพื่อไทย” โดนยุบ ประกอบด้วย “พรรคเพื่อธรรม-พรรคเพื่อชาติ”

ล่าสุด มีข่าวว่า “พรรคเพื่อไทย” อาจจะอยู่รอดปลอดภัย ไม่โดนยุบ เนื่องจากบุคคลที่ร่วมกันแถลงข่าว 4 ปี คสช.นั่นน่ะ ประกอบด้วย “นายชูศักดิ์ ศิรินิล-นายจาตุรนต์ ฉายแสง-นายวัฒนา เมืองสุข”

ทั้ง 3 คนไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย เป็นแค่สมาชิกเฉยๆ จะเล่นงานได้เฉพาะบุคคล จะพาลไปเล่นงานพรรคไม่ได้ เลยรอดสันดอนไปเปลาะหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าจะอยู่รอดปลอดภัยได้นานแค่ไหน

ด้วยประการดังกล่าว พรรค “ตระกูลเพื่อ” ที่เตรียมไว้เป็นนอมินี หมายรองรับกรณีประวัติศาสตร์ซ้ำรอย เดินสะดุดเหลี่ยม “มาตรฐาน” จึงค่อยๆ หายไป

 

แต่ดังที่บอกด้วยเงื่อนไขรัฐธรรมนูญ 2560 ระบบ “จัดสรรปันส่วนผสม” ปะปนระคนกันระหว่างเขตเลือกตั้งกับบัญชีรายชื่อ ทุกเสียงมีความหมาย ส่งมาคำนวณที่ส่วนกลาง เอื้อประโยชน์พรรคเล็ก คุมเข้มพรรคใหญ่

ถึงมีข้อเสียต่อพรรคเพื่อไทยเยอะมาก แต่เมื่อตีโจทย์แตก “ผลดี” ก็มีไม่ใช่น้อย สามารถพลิก “วิกฤต” มาเป็น “โอกาส” ได้

จึงเป็นที่ไปและที่มาในการจัดทัพ-ปรับแถวใหม่ แยกกันเดิน รวมกันตี ด้วยการไปเซ้งหัวพรรค “ไทยรักษาชาติ” หรือ “ทษช.” มาเรียบร้อย และเมื่อสะเด็ดน้ำทุกเม็ดแล้ว ได้ทำการเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

ดังที่ทราบว่า ใช้บริการ “เลือดใหม่” เป็นกรรมการบริหารพรรค อันประกอบด้วย “ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช” อดีต ส.ส.ขอนแก่นพรรคเพื่อไทย ถูกโยกมาเป็นหัวหน้าพรรค รองหัวหน้าพรรค มีหลานลุงแม้ว “ฤภพ ชินวัตร” กับ “สุณีย์ เหลืองวิจิตร” อดีต ส.ส.พิจิตร กับ “พฤฒิชัย วิริยะโรจน์” เป็นรองหัวหน้าพรรค และ “มิตติ ติยะไพรัช” ลูกเลิฟของ “ยงยุทธ ติยะไพรัช” ประธานสโมสรทีมฟุตบอลเชียงราย ยูไนเต็ด เป็นเลขาธิการพรรค

เห็นรายชื่อกรรมการบริหารพรรค ทษช. คอการเมืองจะพากันหัวเราะก๊าก เพราะทุกคนล้วนโนเนมอ่อนประสบการณ์ ส่วนใหญ่เท้าไม่เคยสัมผัสสนามเลือกตั้งมาก่อนเลย จะเอาอะไรไปสู้รบปรบมือกับเขี้ยวลากดินทั้งหลายเขาไหว

นั่นมันก็จริง แต่ต้องดูที่ไปที่มา ผู้อยู่เบื้องหลัง และวัตถุประสงค์ ตลอดถึงเป้าหมายในลำดับต่อไป เพราะยังปล่อยของออกมาไม่หมด

“ทษช.” แก๊กแรก ใช้บริการบรรดา “สมันน้อย” ก็จริง แต่อีกไม่กี่วันจะมาอีกชุด ส่ง “บิ๊กเนม” ตัวกลั่นจำนวนหนึ่งมาจาก “เพื่อไทย” เห็นว่าจะมีบุคคลระนาบ “จาตุรนต์ ฉายแสง-นพดล ปัทมะ-พวงเพชร ชุนละเอียด-กิตติรัตน์ ณ ระนอง” ดีกรีประมาณนี้ มานั่งทำเนียบบัญชีรายชื่อ ไม่มีส่วนใดๆ กับกรรมการบริหารพรรค

กรณีที่ไปเหยียบเปลือกกล้วยหกล้ม ถูกกล่าวว่าหาสมคบคิดกับ “เพื่อไทย” และถูกยุบพรรค อะไรก็ว่ามา แต่ “บิ๊กเนม” จะไม่ต้องโทษแบบทางการเมือง เนื่องจากไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรค

ที่ว่าจะ “แยกกันเดิน รวมกันตี” กล่าวคือ “พรรคเพื่อไทย” เน้นพื้นที่ ส.ส.เขตเลือกตั้งในภาคเหนือ-ภาคอีสาน ที่ตัวเองเป็นแชมป์ และมั่นใจว่าจะชนะชัวร์ กับสนาม กทม. โดยจะคัดเกรดผู้สมัครระดับ “เกรดเอ” เป็นตัวยืนจำนวน 250 เขตเลือกตั้ง

โดยคำนวณว่า หากไม่ชนะถล่มทลายแลนด์สไลด์ น่าจะกวาดที่นั่ง ส.ส.เขตได้เกิน 150-170 คนโดยประมาณ สัดส่วนดังกล่าว “เพื่อไทย” จะได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์อีกไม่น้อย เนื่องจากยังไม่ถึงเพดาน “คะแนนพึงมี”

ขณะที่ “พรรคไทยรักษาชาติ” จะส่งผู้สมัครจำนวนจำกัด ประมาณ 100 คน ในพื้นที่กระแสนิยมไม่ดี เพื่อเก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน ให้ “หนึ่งคะแนนมีความหมาย” ไม่สูญเปล่า

พื้นที่เป้าหมายที่จะส่งผู้สมัคร ได้แก่ 14 จังหวัดภาคใต้ เว้นยะลา-นราธิวาส-ปัตตานี

ภาคกลางและภาคตะวันออก ที่เป็นเขตอิทธิพลของชาติไทยพัฒนา-ประชาธิปัตย์-พลังชล

“ทษช.” อาจจะได้ ส.ส.เขตเลือกตั้งในบางจังหวัด แต่ “เน้น” ที่บัญชีรายชื่อ คาดว่าจะกวาดคะแนนได้เกิน 1.5 ล้าน โอกาสที่จะได้ ส.ส. 2 ระบบ 20 เสียง นำยอดไปไขว้รวมกับ “เพื่อไทย” 2 เครือข่ายจะมีที่นั่งเกิน 200 ที่นั่ง

เหลียวซ้ายแลขวา ตามไปดูพรรคที่จะเป็นคู่แข่งสำคัญ “พลังประชารัฐ” ถึงนาทีนี้ ยังเงียบพิลึกกึกกือ