จากเดินคารวะแผ่นดิน ถึงปฏิบัติการ “คืนนกหวีด” มวลชน กปปส.เปลี่ยน แต่ “ลุงกำนัน” ไม่เปลี่ยน

ปฏิบัติการ “เดินคารวะแผ่นดิน” ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานะประธานคณะทำงานรณรงค์เชิญชวนประชาชนเป็นสมาชิกพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) พร้อมคณะแกนนำและสมาชิกพรรค ยังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง

จากจุดเริ่มต้น 25 ตุลาคม ในพื้นที่ใจกลางกรุงเทพฯ ที่เจ้าตัวเคยนำพลพรรค กปปส. และมวลชนเรือนแสนเป่านกหวีดชัตดาวน์ ขวางคูหาเลือกตั้ง จนนำไปสู่การรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557

ห้วงเวลาอันรุ่งโรจน์ของนายสุเทพ ถึงวันนี้ผ่านไปเกือบ 5 ปี เกิดสิ่งต่างๆ ขึ้นมากมายในทุกมิติทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน

รวมถึงตัวนายสุเทพและแกนนำ กปปส. ต่างได้รับผลกระทบจากสิ่งที่ร่วมกันก่อขึ้นเมื่อ 5 ปีก่อนเช่นกัน บางคนได้ดี บางคนก็ไม่ ปฏิบัติการเดินคารวะแผ่นดินคือเครื่องสะท้อนถึงผลกระทบนั้นๆ

ก่อนนำคณะออกเดิน หลายคนสงสัยการเคลื่อนไหวดังกล่าวขัดต่อประกาศคำสั่ง คสช. ในเรื่องของการห้ามพรรคการเมืองหาเสียง จนกว่าจะมีการ “ปลดล็อก” หรือไม่

ทั้งยังกังวลว่าความเคลื่อนไหวตั้งขบวนออกเดินไปตามท้องถนนครั้งนี้ นอกจากไม่เป็นธรรมต่อพรรคอื่นๆ ยังอาจเป็นชนวนขัดแย้งรอบใหม่ จนมีผลกระทบทำให้โรดแม็ปเลือกตั้งเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ต้องขยับออกไปหรือไม่

อย่างไรก็ตาม นายสุเทพยืนยันว่า การเดินคารวะแผ่นดินไม่ใช่การหาเสียง แต่เป็นการเดินรณรงค์เชิญชวนประชาชนร่วมสมัครเป็นสมาชิกพรรค หลังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) รับรองความเป็นพรรคการเมืองแล้ว จึงไม่ขัดต่อคำสั่ง คสช.

พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต. กล่าวยืนยันเช่นกันว่า การเดินพบปะประชาชนของพรรคการเมืองเพื่อเชิญชวนให้สมัครเป็นสมาชิก เป็นเรื่องจำเป็น สามารถทำได้

เมื่อได้ไฟเขียวจากรัฐบาล คสช. และผู้คุ้มกฎเลือกตั้งอย่าง กกต. เส้นทางเดินคารวะแผ่นดินของนายสุเทพจึงดูเหมือนราบรื่นไร้อุปสรรค

ด้วยบารมี “ลุงกำนัน” ผู้เคยนำม็อบเรือนแสนเป่านกหวีด ยึดสถานที่ราชการ ชัตดาวน์กรุงเทพฯ ขับไล่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เปิดประตูให้การรัฐประหาร

ออกมาเดินเที่ยวนี้น่าจะมีสาวกนกหวีดพร้อมใจออกมารำลึก 5 ปีแห่งความหลังล้นทะลักถนนที่ย่างกรายผ่าน น่าจะกวาดต้อนแฟนคลับเข้าเป็นสมาชิกพรรคได้เป็นกอบเป็นกำ แต่พอถึงเวลาจริง

จากหน้ามือก็กลายเป็นหลังมือ

บทสรุปนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ต่อการเดินคารวะกรุงเทพฯ ก็คือ ได้การตอบรับเป็นอย่างดี

แต่ก็พบมีกลุ่มต่อต้านว่าอยากกลับมามีอำนาจ มาขัดขวางก่อกวนการรณรงค์เชิญชวนการสมัครสมาชิกพรรค ทั้งตะโกนด่า รวมถึงโพสต์ด่าในโซเชียล

“กลุ่มคนดังกล่าวมีจิตใจคับแคบเรื่องประชาธิปไตยมากๆ และอาจมีนักการเมืองที่เป็นขั้วตรงข้ามคอยหนุนหลังอยู่”

เป็นบทสรุปไม่ว่าต่อเหตุการณ์ชายขี่จักรยานยนต์ตะโกนด่า ขณะยกขบวนเดินผ่านตลาดสำเพ็ง

ไม่ว่าต่อเหตุการณ์ลุงคนหนึ่งเข้าบุกประชิดตัว กล่าวต่อว่านายสุเทพ “ไหนบอกจะไม่ลงการเมือง” และ “ผมเคยสนับสนุนเมื่อตอนนั้น แต่ตอนนี้ผมไม่เห็นด้วย”

ไม่ว่าต่อเหตุการณ์บนถนนสีลม ที่ชายคนหนึ่งเข้ามาสอบถาม เมื่อทราบว่าเป็นพรรคนายสุเทพ ก็ตะโกนเสียงดัง “โกหกแล้ว”

นายสุเทพสรุปอีกครั้งหลังการเดินผ่านไปเป็นวันที่ 4, 5 และ 6 ว่า ได้รับการตอบรับจากประชาชนอย่างดี แต่มีบางกลุ่มบางคนคอยมาจ้องป่วน ซึ่งพบหลักฐานชัดเจนว่าเป็นกลุ่มอำนาจเก่า

“ทำกันเป็นขบวนการ นำคนมาวางเป็นจุดๆ”

กระทั่งเจอกับชายสวมแว่นดำ ยืนชูป้าย “LIAR LIAR” นายสุเทพจึงยกนิ้วโป้งให้ พร้อมย้อนถาม “เขาจ้างคุณมาเท่าไหร่”

ข่าวระบุว่า ชายแว่นดำดังกล่าวคือนายเอก อัตถากร ที่เคยบุกชูป้าย Respect My Vote ต่อหน้านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลางห้องประชุมใหญ่พรรคประชาธิปัตย์เมื่อปี 2557

จากคารวะกรุงเทพฯ คณะนายสุเทพเดินคารวะแผ่นดินต่อในพื้นที่ภาคตะวันออก จ.จันทบุรี ตราด และสระแก้ว

เริ่มที่ จ.จันทบุรี นายสุเทพพร้อมแกนนำพรรคทำพิธีสักการะศาลพระเจ้าตากสินมหาราช

“อย่าบอกว่าผมจะมากู้ชาติเลย แต่เรามาเพื่อรวมพลังประชาชน ทำการเมืองให้ดี ให้ประเทศอยู่รอดปลอดภัย ไม่ให้เกิดวงจรทางการเมืองที่เลวร้ายเหมือนในอดีต เราเห็นมาสมเด็จพระเจ้าตากสินมุมานะ ท่านทุบหม้อข้าวตัวเองเพื่อตีเมือง เราก็จะเดินตามรอยพระยุคลบาท”

แม้ในพื้นที่ จ.จันทบุรี ตราด และสระแก้ว นายสุเทพจะได้รับการตอนรับอย่างอบอุ่น แต่เมื่อมาถึง จ.ปราจีนบุรี อุณหภูมิก็แปรเปลี่ยน เมื่อมีชายคนหนึ่งมาดักรอ “คืนนกหวีด” ให้นายสุเทพ

ต่อมาชายคนดังกล่าวโพสต์เฟซบุ๊ก เป็นภาพตนเองสมัยร่วมชุมนุม กปปส.

พร้อมข้อความกำกับ “ผมเอานกหวีดไปคืนลุงแล้วนะครับ #ได้รับกับมือก็คืนกับมือ #โตไปไม่โกง”

เมื่อเข้าสู่ จ.ระยอง ก็ยังต้องเผชิญกับเสียงบ่นพึมพำงึมงำของชาวบ้านและพ่อค้าแม่ค้า

“คนนี้ไง ทำให้ประเทศชาติพัง” “ชาวบ้านจะตายอยู่แล้ว ไหนบอกบ้านเมืองดีขึ้นถ้ารัฐบาลเก่าออกไป แต่กลับแย่กว่าเดิม” “เศรษฐกิจแย่จะตายอยู่แล้วยังมาเดินหาเสียงอีก” ฯลฯ

คุณูปการหนึ่งของการเดินคารวะแผ่นดิน ก็คือ

เป็นโอกาสให้พรรคอื่นๆ นำไปใช้เป็น “โมเดล” เคลื่อนไหว

เห็นได้จากกรณีคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์เลือกตั้งพรรคเพื่อไทย นำคณะลงพื้นที่ จ.นครราชสีมา และเขตสายไหม กรุงเทพฯ ก็เพื่อหาสมาชิกพรรค

เห็นได้จากกิจกรรม “กรุงเทพฯ ขยับ” ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และพรรคอนาคตใหม่ ในพื้นที่เยาวราช เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน ก็เพื่อหาสมาชิกพรรค

กระนั้นก็ตาม การเดินคารวะแผ่นดินยังก่อให้เกิดคำถามถึงบทบาทของ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล หัวหน้าพรรค รปช. ที่โดนรัศมี “ลุงกำนัน” กลบสนิท จนเกิดกระแสข่าว “ถอดใจ” เตรียมให้นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ขึ้นแทน

ในสายตานักการเมืองยังได้ประเมินการเดินคารวะแผ่นดิน ในมุมมองแตกต่างกัน

แต่ที่น่าสนใจ “คนกันเอง” อย่างนายอาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต ที่โพสต์เฟซบุ๊กว่า

“เฮ้อ! เมืองไทย คุณสุเทพ หม่อมเต่า อาจารย์เอนก อาจารย์สุริยะใส เลิกเถอะ อย่าทำต่อเลย ผมสงสาร คนเขาไม่เชื่อแล้ว”

ข้อความนายอาทิตย์ ถูกตีความเป็น 2 ทาง ทางหนึ่ง มองว่าเป็นการ “ติดเบรก” นายสุเทพและพวก ให้ยุติการเดิน ส่วนอีกทางหนึ่ง เชื่อว่าเป็นการ “ตัดพ้อ” คนกรุง

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. กล่าวว่า การเดินของพรรค รปช.เป็นสิทธิเสรีภาพ ประชาชนอย่าขัดขวาง เพราะอาจมีการขยายความไปถึงการต่อต้านพรรคอื่น สุดท้ายจะนำไปสู่ความขัดแย้งรอบใหม่ จนเป็นเหตุให้ไม่มีการเลือกตั้ง

ในมุมของนายจตุพร มีพื้นฐานจากการที่ผู้มีอำนาจใน คสช.เคยพูดเปิดช่องไว้ว่า ถ้าบ้านเมืองไม่สงบก็จะไม่มีการเลือกตั้ง ซึ่งวันนี้มีการต่อต้านพรรคการเมือง จึงเกรงจะนำไปสู่การ “จัดฉาก” ล้มเลือกตั้งในที่สุด

กระนั้นก็ตาม นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กลับเชื่อว่า

การมีประชาชนออกมาต่อต้านการเดินของนายสุเทพ จะไม่มีส่วนต่อการล้มหรือทำให้การเลือกตั้งเลื่อนออกไป เพราะประชาชนย่อมมีสิทธิแสดงความคิดเห็น หากจะมีการเลื่อนเลือกตั้ง น่าจะเป็นความพยายามใช้พรรคการเมืองเป็นข้ออ้างมากกว่า

การเดินคารวะแผ่นดินของนายสุเทพและพวก กำหนดสิ้นสุดที่ อ.เบตง จ.ยะลา วันที่ 10 พฤศจิกายน

สิ่งที่ต้องทำต่อจากนี้คือ การนำเสียงสะท้อนตามรายทางตลอดปฏิบัติการ 17 วันที่ผ่านมา ทั้งด้านบวกและลบ นำมาประเมิน วิเคราะห์ เพื่อให้ได้ข้อสรุปเป็นรูปธรรม

ก่อนให้ประชาชนตัดสินอีกครั้งในการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้น