ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 11 - 17 พฤศจิกายน 2559 |
---|---|
คอลัมน์ | นงนุช สิงหเดชะ |
เผยแพร่ |
การจะถ่ายทอดสิ่งใด เรื่องราวใดให้ตรงกับความเป็นจริง ไม่มีวิธีไหนดีไปกว่าการไปอยู่ในสถานที่นั้นและสัมผัสทุกอย่างด้วยตัวเอง
เช่นเดียวกับ เคนเนธ คิม หัวหน้านักยุทธศาสตร์การเงินของ EQIS Capital ซึ่งเป็นบริษัทรับบริหารจัดการสินทรัพย์ในซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา อีกทั้งยังเป็นอาจารย์สอนด้านการเงินในมหาวิทยาลัยมากว่า 20 ปี ก็ใช้วิธีนี้ในการถ่ายทอดเรื่องราวของความรักเทิดทูนที่ชาวไทยมีต่อในหลวงรัชกาลที่ 9
ข้อเขียนของเขาปรากฏอยู่ในนิตยสารฟอร์บส์ ภายใต้หัวข้อ “คิงภูมิพลแห่งประเทศไทยกับความยั่งยืนทางธุรกิจ”
คิมบอกว่าตัวเขาเองนั้น มาเมืองไทยบ่อยๆ และยังทำงานอยู่ที่นี่ด้วย มีโอกาสเห็นด้วยตาตัวเองถึงความรักเคารพ เทิดทูนที่คนไทยมีให้กับในหลวงรัชกาลที่ 9
ดังนั้น เมื่อมีคนพูดว่าคิงภูมิพลเป็นที่รักของประชาชนจึงไม่ใช่การกล่าวเกินจริง เพราะถึงแม้ตำแหน่งของกษัตริย์จะค่อนข้างไปในทางเป็นประมุขเชิงสัญลักษณ์
แต่ก็มีหลายครั้งที่พระองค์ทำให้ประชาชนหันมาสามัคคีกันและนำพาพสกนิกรของพระองค์ท่านให้ก้าวผ่านห้วงเวลาที่วุ่นวายปั่นป่วน
“ในแง่การเมือง ผมคงพูดได้ว่าตามประวัติศาสตร์แล้วส่วนใหญ่ประเทศไทยมีความแตกแยกและปัญหา แต่สิ่งเดียวที่คนไทยมีเหมือนกันคือความรักและเทิดทูนต่อกษัตริย์ของพวกเขา”
คิมระบุว่า แต่น่าเศร้าที่เมื่อเร็วๆ นี้ ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จสวรรคต แต่เรื่องนี้แทบจะไม่ถูกเอ่ยถึงในสื่ออเมริกา อาจเป็นเพราะคู่ชิงชัยประธานาธิบดีอย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ และ ฮิลลารี คลินตัน ดึงความสนใจจากสื่อส่วนใหญ่ไป
แต่ในประเทศไทยนั้นคนทั้งประเทศโศกเศร้าอาลัยต่อการจากไปของกษัตริย์ผู้ทรงครองราชย์มานาน 70 ปี
ผู้เขียนออกตัวว่า ปกติแล้วสิ่งที่เขาเขียนลงในฟอร์บส์ มักเกี่ยวกับตลาดการเงินเอเชียและตลาดการเงินโดยทั่วไป
ดังนั้น เมื่อพยายามจะอธิบายถึงมรดกยอดเยี่ยมหลายอย่างที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ของไทยพระองค์นี้ทิ้งไว้เบื้องหลัง เขาก็จะขอเอ่ยถึงเพียงเรื่องเดียวในคอลัมน์ของเขา นั่นก็คือเรื่องที่ “ในหลวงรัชกาลที่ 9 ของไทยเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่ธุรกิจต่างๆ จะทำความดีและสร้างกำไรไปพร้อมๆ กัน”
เขาบอกว่าหลังเกิดวิกฤตการเงินเอเชียเมื่อปี 2540 หรือต้มยำกุ้งซึ่งมีจุดเริ่มต้นในประเทศไทย นักวิชาการ เจ้าหน้าที่รัฐและผู้เชี่ยวชาญอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ต่างชี้นิ้วว่าต้นตอเกิดจากการคอร์รัปชั่นอย่างกว้างขวาง
กษัตริย์ของไทยก็ได้สนับสนุนปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งมีหลัก 3 ประการคือ ความพอประมาณ มีเหตุผลและมีภูมิคุ้มกัน (มีความพร้อมในการรับความเปลี่ยนแปลง)
พระองค์เชื่อว่า ถ้าธุรกิจต่างๆ นำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้จะทำให้องค์กรมีความยั่งยืน
คิมตั้งคำถามว่ามีหลักฐานอะไรไหมที่แสดงว่าปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาถูกทาง
แม้บางคนจะรู้สึกว่าปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงช่วยให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวจากวิกฤตครั้งนั้น แต่หลักฐานที่ดีที่สุดคือหลักฐานที่เป็นรูปธรรม
ซึ่งคิมได้อ้างอิงข้อมูลการสำรวจบริษัทไทยหลายแห่งดำเนินการโดยทีมนักวิชาการของสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ จุฬาฯ ที่สำรวจเพื่อหาคำตอบว่าบริษัทที่รับเอาปรัชญานี้ไปใช้ยังสามารถทำกำไรได้หรือไม่ คำตอบคือใช่
พวกเขาพบว่าบริษัทเหล่านี้มีความเสี่ยงน้อยลง แต่กำไรไม่ลดลง
“ผมขอพูดว่านี่เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับเรียนรู้ในยุคนี้ที่บริษัทต่างๆ เต็มไปด้วยความโลภ”
คิมเขียนต่อไปว่า ในอเมริกานั้นเราได้เห็นกันแล้วว่าความโลภของบริษัทขนาดใหญ่สร้างความลำบากให้กับเราอย่างไรบ้างเมื่อเกิดปัญหาฟองสบู่ไอทีแตกในช่วงต้นทศวรรษ 2000
ตามมาด้วยวิกฤตธรรมาภิบาลของบริษัทขนาดใหญ่อย่างเอ็นรอน เวิลด์คอมและอาร์เธอร์แอนเดอร์สัน
ต่อด้วยวิกฤตการเงินครั้งใหญ่ปี 2008-2009 ซึ่งมีต้นตอมาจากบริษัทแบร์ สเติร์น และบริษัทการเงินอีกหลายแห่งของสหรัฐ
ผลจากวิกฤตสหรัฐครั้งนั้น ทำให้บรรดาสถาบันการศึกษาด้านธุรกิจได้สอนผู้นำในอนาคตให้คำนึงถึงจริยธรรมการทำธุรกิจ การมีธรรมาภิบาลและความยั่งยืนขององค์กร
แม้บางคนเชื่อว่าการทำตามสิ่งเหล่านี้จะทำให้องค์กรไม่มีกำไร แต่ในประเทศไทยนั้น อย่างน้อยการปฏิบัติตามหลักการเหล่านี้ องค์กรธุรกิจก็ยังสามารถสร้างกำไรได้
“บางทีนั่นอาจเป็นมรดกยั่งยืนที่คิงภูมิพลทรงทิ้งไว้เบื้องหลัง” คิมตบท้ายเอาไว้อย่างนั้น
คิมนั้น นอกจากจะเป็นนักยุทธศาสตร์ด้านการเงิน เป็นอาจารย์สอนด้านการเงิน (ปัจจุบันสอนที่ State University of New York) แล้วยังทำงานในฐานะนักเศรษฐศาสตร์การเงินอาวุโสให้กับคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ในวอชิงตัน ดี.ซี. ด้วย
นั่นเป็นสิ่งที่ชาวต่างชาติมองเห็นคุณค่าและคุณประโยชน์ที่พระมหากษัตริย์ไทยรัชกาลที่ 9 ทรงสร้างไว้ให้กับแผ่นดินและคนรุ่นหลัง
คุณูปการของรัชกาลที่ 9 นั้นสำหรับผู้มีสติปัญญาและใจสว่างไม่มืดบอด แล้วไม่มีอะไรต้องสงสัย (ข้อเขียนของเขาอาจต่างจากฝรั่งหลายคนที่ชอบไปรับข้อมูลอคติด้านเดียวจากคนไทยบางกลุ่ม อ่านข้อเขียนของฝรั่งอคติพวกนี้จะกี่เที่ยวก็รู้ว่าไปรับข้อมูลจากใคร เพราะเป็นก๊อบปี้เดียวกันหมด)
ยิ่งการที่สหประชาชาติ (ยูเอ็น) จัดประชุมวาระพิเศษ เพื่อเทิดพระเกียรติ ย่อมเป็นเครื่องรับประกันได้อย่างดี
ในบรรดาสมาชิกสหประชาชาติที่ขึ้นกล่าวเทิดพระเกียรติในหลวงรัชกาลที่ 9 นั้น ดูเหมือน ซาแมนธา พาวเวอร์ เอกอัครราชทูตถาวรสหรัฐประจำยูเอ็นจะพูดได้ดีและเก็บรายละเอียดได้เยี่ยมเป็นพิเศษ ซึ่งได้รับเสียงชื่นชมจากคนไทยจำนวนมากว่าพูดได้ตรงใจ เธอเก็บรายละเอียดขนาดที่ว่าพระบรมราชชนกและราชชนนี (พ่อแม่) ของในหลวงรัชกาลที่ 9 พบกันที่ไหน และเนื่องจากตัวเธอเองนั้นเคยเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ซึ่งอยู่ใกล้กับจัตรัสภูมิพล (อนุสรณ์สถานที่เสด็จพระราชสมภพของในหลวง) เธอต้องเดินผ่านจัตุรัสนี้ทุกวัน
“ทุกครั้งที่เดินผ่านจัตุรัส เป็นเรื่องปกติไปแล้วที่ดิฉันมักได้เห็นคนไทยมาถวายความเคารพพระองค์ท่านและถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึกด้วยความศรัทธาภักดี”
ทูตสหรัฐประจำยูเอ็นยังพูดถึงการอุทิศพระองค์เพื่อคนยากไร้ในชนบท ทรงเดินทางไปทุกพื้นที่ไม่หยุดหย่อน ทรงเป็นนักสังเกตเพื่อจะได้แก้ปัญหาให้ประชาชน สิ่งประดิษฐ์ของพระองค์ท่านล้วนเป็นไปเพื่อช่วยเหลือคนยากจน ทรงมีสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมที่ได้รับการจดทะเบียนลิขสิทธิ์และเครื่องหมายการค้าถึง 40 อย่าง และที่เธอไม่ลืมเอ่ยถึงเลยคือโครงการแก้มลิงเพื่อเก็บกักน้ำ
คำกล่าวของ ซาแมนธา พาวเวอร์ อย่างน้อยแสดงให้เห็นว่าเธอทำการบ้านมาดี เอาใจใส่รายละเอียด พยายามทำความเข้าใจเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจในหลวงรัชกาลที่ 9 ตลอดจนประเพณีและวัฒนธรรมไทย