ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 2 - 8 พฤศจิกายน 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ |
เผยแพร่ |
๐ โดยมุมานะหฤทัย อดสูดูไขษย
กวีฤๅแล้งแหล่งสยาม ฯ
ฉบังบทนี้สมเด็จมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงประพันธ์ไว้ท้ายเรื่องสมุทรโฆษคำฉันท์
เป็นที่มาของวรรคทอง “กวีฤๅแล้งแหล่งสยาม”
เป็นดังคำถามมาถึงยุคนี้ ที่นับว่าทันสมัยยิ่ง
เปิดพจนานุกรมดูคำว่า “ไขษย” แปลว่า การสิ้นความเสื่อมถอย เป็นคำเดียวกับคำขษัย กระษัย กษัย แปลว่าความเสื่อม ลดลงจากที่เคยมีเคยเป็น
จริงไม่จริงค่อยว่ากัน
เลยทำให้ต้องไปเปิดอ่านวรรณคดีสมุทรโฆษคำฉันท์สมัยอยุธยาต่อมาถึงรัตนโกสินทร์ เพราะวรรณคดีเรื่องนี้แต่งโดยกวีถึงสามท่าน เริ่มแต่พระมหาราชครู ต่อด้วยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และสมเด็จฯ กรมพระปรมานุชิตธิโนรส ว่าแต่งขึ้นระหว่างราวปี พ.ศ.2199-2231 แล้วค้างอยู่มาต่อจนจบเมื่อ พ.ศ.2392 ใช้เวลาแต่งเกือบสามร้อยปี
ที่มหัศจรรย์คือสำนวนภาษาสม่ำเสมอโดยตลอด ประหนึ่งประพันธ์ด้วยเอกกวีคนเดียวกันนั่นเทียว
คือเป็นภาษากวีโบราณแต่งได้อ่านได้เฉพาะผู้แตกฉานในศัพท์ภาษาบาลีสันสกฤต เป็นสำคัญถึงขั้นเอกอุเอาเลยทีเดียว
สมุทรโฆษเป็นชาดก คือเรื่องราวแต่ปางก่อนของพระพุทธเจ้า อันถือเป็นเรื่องของพระโพธิสัตว์ปางหนึ่ง และสมุทรโฆษนี้เป็นคำฉันท์เรื่องแรกของวรรณคดีไทย ได้รับยกย่องจากวรรณคดีสโมสรว่าเป็นยอดของวรรณคดีประเภทฉันท์
ผู้รักจะสืบสานวรรณกรรม โดยเฉพาะรักในกวีนิพนธ์ต้องอ่านสมุทรโฆษคำฉันท์เป็นภาคบังคับ
สำคัญคือเรื่องนี้แต่งไว้เพื่อ “เล่นหนัง” คือการแสดงมหรสพหนังใหญ่
พระให้กล่าวกาพย์นิพนธ์ จำนองโดยกล
ตระการเพรงยศพระฯ
ให้ฉลักแสบกภาพอันชระ เปนบรรพบุรณะ
นเรนทรราชบรรหารฯ
ให้ทวยนักคณผู้ชาญ กลเล่นโดยการ-
ยเป็นบำเทิงธรณี ฯ
แค่นี้ก็เหนื่อยแล้วใช่ไหม คือมึนด้วยศัพท์แสงและโวหารโดยเฉพาะ
ให้ฉลักแสบกภาพอันชระ
ฉลักนั้นพอทำเนาว่าเป็นคำเดียวกับสลัก เช่น สลักเสลา ก็คือฉลักเฉลา
แสบก ไม่ได้อ่าน แส-บก แต่อ่านว่า สะแบก เปิดพจนานุกรมจึงรู้ แปลว่า หนัง และหมายถึง รูปหนังที่แกะฉลุฉลักแล้วนั่นเอง
อันชระนี่เปิดไม่เจอ อ้อ ที่แท้เฉพาะคำชระนี้เท่านั้น แปลว่า งาม ชัด ฉะนั้น อันชระ ก็คือ อันงามคมชัด ว่างั้นเถิด
วรรคนี้จึงแปลว่า โปรดให้ฉลุฉลักแผ่นหนังขึ้นเป็นภาพอันงดงามเด่นชัด ก็คือ ตัวหนังใหญ่นี่เอง
สะดุดคำ “การย” ที่ “ฉีกคำ” ระหว่างวรรคท้าย คือ
กลเล่นโดยการ- ยเป็นบำเทิงธรณี ฯ
แท้จริงคำ การย แปลว่า งาน ภาระ หน้าที่ ซึ่งเวลานี้เขาใช้แค่การคำเดียวพอแล้ว
จึงว่าภาษากวีโบราณแต่งได้อ่านได้เฉพาะผู้แตกฉานในศัพท์ภาษาบาลีสันสกฤตเป็นสำคัญถึงขึ้นเอกอุเอาเลยทีเดียว นั้นแล
กระนั้นก็มีกวีเอกคนสำคัญแตกฉานถึงขั้นอ่านได้แต่งได้ สามารถถอดอารมณ์ของเก่ามาบันดาลเป็นอารมณ์ใหม่แห่งยุคสมัยได้ไม่แพ้กัน แทบจะ “เหยียบบาท” ต่อบาท นั่นเลย
กวีท่านนี้คือ “นายผี” หรืออัศนี พลจันทร ดูได้จากมหากาพย์ของท่านเรื่อง “ความเปลี่ยนแปลง”
ท่านมหาราชครูเบิกโรงสมุทรโฆษตามขนบการเล่นหนังใหญ่ คือ ก่อนเริ่มเรื่องจะเล่นเรื่องสนุกๆ นำก่อนแสดงที่เรียกเช่น “จับลิงหัวค่ำ” เพื่อ “เบิกโรง” ดังเล่นหัวล้านชนกัน
แคว้งแคว้งแสงหัวสองใส ส่องเห็นเงาใน
ก็แล่นกระทบทบทาน
บมิลื้นบมิลอกบมิวาน สองคือช้างสาร
แลชนกันปลักกลางแปลง
ฉาดฉาดเสียงหัวสองแขง เลือดไหลลามแดง
ทั้งหน้าทั้งตาดูยัง ฯ
นอกนี้มีเล่นอื่นอีก เช่น ชนแรด แข่งวัวเกวียน จระเข้กัดกัน
มหากาพย์ความเปลี่ยนแปลงของนายผีใช้เช่นหนังตะลุงประชันโรง มีโรงเมืองเพชร กับโรงตาหรุ่น ซึ่งเบิกโรงด้วยการแข่งควายขวิดกัน
ไอ้แก้วไอ้เปลือยปิดทอง ขี่ควายผายผยอง
มาเจอะกันกลางจอไกร
วางควายขวิดกันหวั่นไหว เพียงพื้นภพไตร
จะแตกทำลายลงพลัน
เชิดฆ้องกลองปี่นี่นั้น ฉิ่งกรับรับกัน
กระเกริกตระการโกลา
เด็กเล็กหลามล้อมโรงฮา ปั้งฉาดปั้งชา
เอาเว้ยกูเอาควายเปลือย
กูเอาควายแก้วละเหวือย ควายกูมีเดือย
ประดุจดวงเพลิงกาฬ
ควายกูมีพัดใบตาล พัดเพลิงบึงตาล
ให้ดับสะเด่าเดี๋ยวใจ
เด็กโห่ฮาตึงปรึงไป เฒ่าตามหลามไหล
ก็ล้อมตาหรุ่นเรืองนาม
โรงเพชรเข็ดเขี้ยวเคี้ยวกราม ถอนเสาโรงหาม
ลงเรือแลเรียกบมิเหลียว ฯ
มหากาพย์สองสำนวนนี้อ่านออกรสได้สนุกสนั่นพิสดารพันลึกล้ำเลยละ ไปอ่านฉบับจริงดูเถิด
นี้คือกลเม็ดเด็ดพรายของการเปิดเรื่องทั้งมหรสพและมหากาพย์ของเอกศิลปินสองยุคสมัย ที่สืบสายถ่ายทอดอารมณ์กันได้อย่างวิเศษ
ฟังดูให้ดีก็กระเดียดจะเป็น “แร็ป” ได้เลยนะนี่
อารมณ์กวีนั้นไม่ต่างกัน หากโดยเนื้อหาแล้วต่างกันโดยสิ้นเชิง สมุทรโฆษนั้นเพื่อสรรเสริญคุณแห่งพระพุทธองค์ ดังบทสรุปว่า
โผอนเอาดำนานเนิ่น ดำเนิรธรรมเทศนา
บัญญัติปัญญาสชา- ดกเสร็จสมเด็จแสดง ฯ
มหากาพย์ความเปลี่ยนแปลงนั้นแต่งเพื่อปลุกสำนึกจิตวิญญาณความเป็นไทที่ไม่เป็นทาสการกดขี่ของเผด็จการทุกรูปแบบ
รู้ว่าเพชรดีมีใน มวลชนชาวไทย
อันทรหดห้าวหาญ
มีในเบ้าหลอมเหลือประมาณ เริงรณทนทาน
แลล้วนถลุงพลุ่งพราย ฯ
นี้เป็นอำนาจวรรณกรรมอันบันทึกอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดที่เป็นดั่งภูมิปัญญาแห่งยุคสมัย
ด้วยพลังกวี