การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ แค่เศษ

บ้านของหวานเป็นเรือนไม้ยกสูง หันหน้าล่องใต้เหมือนหลังอื่นๆ หากยืนหน้าประตูรั้ว ด้านหลังจะเป็นถนนสายรองของหมู่บ้าน มีเรือนไม้สักหลังใหญ่ตั้งอยู่ นั่นคือบ้านของแม่บัวเข็วกับลุงหนานธา และถ้ามองไปฝั่งซ้าย ก็คือบ้านของก่องแก้วกับพี่กาบคำ

ก่องแก้ว…ไม่ได้พบเด็กนั่นมานานนักหนา ตั้งแต่จากไปและกลับมา ยังไม่ได้เห็นหน้ากันสักหน แต่ฉันก็ไม่เคยปริปากถามกับใคร พี่กาบคำเองไม่ได้อยู่บ้าน เงียบหายไปเช่นเดียวกับพี่โฟ

หากเป็นปกติ หวานมักเดินโยกตัวอย่างร่าเริงเวลาจะกลับเข้าบ้าน ผ่านต้นผักแค็บผักแคก็เด็ดติดมือ หวานมีพ่อแม่ที่แก่เฒ่ากว่าใคร และยังมีน้องอีกถึงสามคน นอกเหนือจากการทำงานในแปลงเพาะ ก็จะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการ “เซาะว่าหากิน”

อันที่จริงแล้วหวานเป็นคนเก่ง จะไปส้อนไปแซะ ตกจ๋ำหาปลา หรือลงนาลงสวนก็ทำได้ทุกอย่าง เป็นคนหมั่นตีนหมั่นมือเช่นเดียวกับชื่นใจ ฉันเสียอีกที่ว่างเมื่อไหร่เป็นต้องได้ก้มหน้าอยู่กับตัวหนังสือ จนพี่ “วี” พี่สาวคนโตของหวานนำมาค่อนแคะฉันอยู่บ่อยๆ

“โอ้ย อ่านหนังสืออยู่หั้น จะเอาอะไรมาทันกินเปิ้น!”

นั่นอาจเป็นเหตุผลหนึ่ง ไม่จำเป็นฉันไม่อยากไปบ้านหวานนัก แต่พี่วีคนนี้เองที่เป็นเมียของญาติพ่อ บางครั้งก็จำใจต้องเอาของมาให้ตามคำสั่งของแม่

และก็อย่างนึกกริ่งเกรงไว้ ย่างตีนเข้าเขตบ้านเพื่อน

แม้ตะวันจะรอนอ่อนแสงลงทุกทีก็เจอพี่วีกำลังหย่งตีนซิ่นอยู่กลางลานข่วง ยินเสียงก็หันขวับ

“มาแล้วรึ! อีหวาน หายไปไหนมา!”

“ก็ไปบ้านอีพี่” เหลียวมองหน้าฉันแว่บหนึ่ง “ไปเอาผ้ามาเย็บ”

“เย็บทำไม ผ้าใคร!”

หวานเหลียวมองหน้าฉันอีก

“ผ้าเปิ้นเอง” ฉันรีบออกปากไปเสีย “ขอให้หวานช่วยหน่อย”

“แล้วมึงเย็บเองบ่เป็นรึ!” อีพี่วีเสียงดังเข้าใส่ ฉันให้นึกขุ่นมัวขึ้นรำไร แต่ก็ยังสะกดใจได้อยู่

“ไม่เป็น” ตอบไปเสียให้สิ้นเรื่องราว

แต่กลายว่า อีพี่หวานพยักหน้ารับรู้ ทำราวว่าไม่ผิดจากที่คิดไว้…แล้วจะถามทำไม นั่นคือความสงสัยของฉัน

หากไม่ต้องรอนาน อีพี่วีก็พูดต่อ

“สมละ ทำอะไรก็ไม่เจริญ! เรื่องแค่นี้ก็ทำไม่ได้ เป็นแม่ญ่าแม่ญิง งานบ้านงานครัวไม่เอาไหน ใครจะเอาไปเป็นลูกเป็นเมีย!”

หวานหน้าเสียขึ้นมาทันที เหลียวมาพูดกับฉัน

“…เธอจะกลับไปก่อนมั้ย”

แต่ฉันมองหน้าหวาน พยายามไม่สนใจเสียงนกเสียงกา

“ก็เธอมีอะไรจะพูดกับเราไม่ใช่หรือ”

“คงพูดกันตอนนี้ไม่ได้แล้วล่ะ” หวานว่า เสียงเบาแทบเป็นกระซิบ

ฉันแน่ใจแล้วว่า ต่อให้เก่งยังไง หวานก็พ่ายต่อพี่สาวคนนี้เสมอ

“แล้วจะพูดกันตอนไหน ขึ้นไปพูดกันในห้องเธอเลยได้มั้ย”

“เอ้อ…” หวานอึกอักขึ้นมา “ฉันไม่มีห้องส่วนตัวหรอก ไม่ได้เป็นอย่างบ้านเธอ”

“อ้าว…”

ฉันนิ่งงันไป พร้อมกับนึกได้ว่า หวานอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ เว้นพี่วีที่มีเรือนอีกหลังอยู่ใกล้ๆ เพราะเอาผัวแล้ว ในบ้านย่อมมีคนอยู่อาศัยมากมาย เท่าที่พอรู้มา พี่สาวสอง พี่ชายสอง น้องอีกสาม หนำซ้ำเห็นว่ายังมีญาติห่างๆ มาขออาศัยอยู่อีกคน

คงเพราะฉันเองไม่ค่อยได้ใส่ใจชีวิตหวาน รู้ไปก็เท่านั้น ความสัมพันธ์เพียงดำเนินไปในฐานะเพื่อนร่วมงาน หากไม่มีเหตุการณ์วันนี้ อยู่ดีๆ ฉันก็ไม่คิดจะมา

 

“งั้นกลับไปบ้านฉัน”

หวานเบิกตา

“…เธอมีอะไรหรือเปล่า”

“เธอสิ มีอะไร” ฉันมองหน้าเพื่อนร่วมงาน อาจเป็นตอเฟืองที่แห้งกรังอยู่ในห้วงสำนึก ทำให้ฉันรู้สึกไม่ค่อยดีนัก

“ฉันคิดว่า…คงจะดีถ้าเราได้พูดกันเสีย”

“เอาไว้ไปงานพรุ่งนี้ก่อนก็ได้”

“ไม่ได้หรอก” ฉันส่ายหน้า ใบหน้าของคนร่างสูงลอยมา เรานัดกันไว้คร่าวๆ ว่า หากเหมางานเสร็จไว หนนี้ จะไปบางที่ด้วยกัน และในห้วงยามนั้น หวานก็คือส่วนเกิน “ไปได้ไหมล่ะ”

“หวาน!” เสียงอีพี่วีตะโกนออกมาจากตีนบันได

“เจ้า!” หวานขานตอบ

“เมาอ้อยสร้อยอะหยังอยู่!! กูอุตส่าห์ดีใจว่าเห็นมึงมาพอดี รีบมาช่วยกูนี่!”

“พี่จะให้ทำอะไร!”

“หนามปักตีนกูอยู่! อีง่าว! ก่เห็นอยู่ว่ากูเดินกะเผลก เมาแต่อู้กันอยู่นั่น!”

ฉันนึกออกอย่างว่า อีพี่วีกับพี่กาบคำ นิสัยใจคอเหมือนกันอย่างกับฝาแฝด ไหนจะวิธีอู้จา ด่าปากเจ็บปากไหม้ ให้นึกชังนำหน้าขึ้นมาจับใจ ถ้าไม่จำเป็น ฉันจะไม่ขอเกี่ยวดองกับคนบ้านนี้

“เอาเถอะ ยังไงเดี๋ยวฉันไปหาเธอหลังกินข้าวแล้ว…”

“อ้าว” ฉันมองหน้าหวาน “พี่เธอจะไม่ว่าอีกหรือ”

“คงไม่หรอก เดี๋ยวอ้ายจายกลับมา ก็จะเข้าบ้านตัวเก่าแล้ว”

“งั้นก็ตามใจ” ฉันพยักหน้า

“ขอโทษนะ…ทำให้เธอเสียเวลา”

“ไม่เป็นไร” ฉันตัดบท “ลืมไปเหมือนกัน นึกว่าจะได้อู้กันง่ายๆ”

 

ใบหน้าของหวานยังติดในห้วงความคิด แม้เมื่อเดินห่างจากบ้านหลังนั้นมา ในที่สุดก็มืดค่ำแล้ว หลายบ้านเริ่มเปิดหลอดไฟนีออนแจ้งขาว ได้กลิ่นแกงโชยมาจากทางใดทางหนึ่ง เป็นกลิ่นแกงผักหละใส่ข่า ผสมผสานมากับเสียงหมูเสียงไก่เซ็งแซ่ บางคนกำลังเอาควายเข้าคอก ถ้าหลับตาเดินฉันก็คงจะไม่หลงไปไหน แต่ถ้าทำได้ อยากหายตัวไปเสียจากที่เหล่านี้

ฉันไม่เคยมีความคิดจะสนใจใครนัก ฉันเบื่อที่นี่ หากไม่มีคนร่างสูงและผิวสีน้ำผึ้งคนนั้น ชีวิตของฉันก็คงเหมือนดินดากสักก้อนหนึ่ง ฝนตกก็เปียก แดดร้อนก็แข็ง ทุกๆ วันทุ่มเททำงานใช้แรง แลกกับใบแดงใบเขียวในแต่ละสัปดาห์ ได้มาก็หมดไป

ชีวิตคืออะไร แค่อยู่ๆ กินๆ กันไปแต่ละวันเท่านั้น แต่ก็นั่นเอง…แล้วทำไม หัวใจยังรู้สึกรู้สา ยังมีช่องว่างให้เหงา ให้เจ็บ…แม้บางวันไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า ที่เจ็บๆ อยู่น่ะ เพราะอะไร

ในหลายๆ ครั้ง ฉันรู้สึกเหมือนกำลังมีมีดบาดอยู่ข้างใน ไม่รู้จะบอกใครได้ อย่างมากก็แค่เขียนลงสมุดปกลายไทย แต่ให้ตายเถอะ เศษฟางที่แห้งกรังในสายตาหวานทำให้ฉันคิดมากเข้าจนได้

มันไม่ควรเป็นอย่างนี้ใช่มั้ย เราแอบรักแอบชอบใคร – ใครแอบรักแอบชอบเรา เหมือนเดินกันอยู่ในป่ารกๆ เหม็นเน่า ซึ่งรู้ว่าคงมีดวงตะวันอยู่ แต่มันอยู่สูงเกินไป

ฉันไม่รู้จะพูดยังไง ความคิดสับสนอลหม่าน ชีวิตของฉันก็สับสนอลหม่าน วุ่นวายในความนิ่ง นิ่งในความวุ่นวาย รวมๆ แล้วคงต้องจดบันทึกไปอีกเพียงว่า ชีวิตขี้หมาของกู

 

แต่ก็ไม่คิดเลยว่า จะได้เจอเด็กผมขอดกำลังยืนอยู่หน้าประตูรั้ว และมองฉันด้วยดวงตาสีลูกหว้า

“พี่…ไปไหนมา”

“อ้าว หนูปิม” ฉันจำเป็นต้องหยุดเท้า นัยน์ตาวับวาวแบบนั้น รู้ว่าคงจะยืนรอท่านานอยู่

“ปิมล่ะ มาทำอะไรมืดๆ ตรงนี้ เดี๋ยวก็ยุงรุมหรอก”

“ตะกี้เห็นพี่เดินไปทางบ้านเหนือ”

“อือ ก็ไปบ้านเหนือมา”

“ไปบ้านพี่หวานเหรอ”

ฉันนึกหงุดหงิดขึ้นมาอีก และรู้ชัดขึ้นว่า ถ้าจะมีใครที่ฉันเกรงใจน้อยที่สุด คงเป็นเด็กคนนี้ ทั้งๆ ที่ก็เคยร่วมสะลีกันมา

“ปิมจะซักพี่ทำไม? ให้ได้อะไรขึ้นมา?”

หน้าขาวเจื่อนทันตา และคงแบบนั้น ปีศาจในตัวฉันก็ได้จังหวะ

“ปิมแทบไม่ได้เจอพี่เลย…”

“ก็จะเจอกันได้ยังไง” ฉันใส่ความรำคาญลงไปในเสียงอีก “ปิมไปเรียนหนังสือ พี่ไปทำงาน”

“พี่ทำงานเหนื่อยมั้ย” อีกนิดเดียว น้ำตาคงจะใกล้หยาดแล้วเต็มที

“ถามอะไรโง่ๆ!”

นั่นไง หยดใสๆ ไหลลงมาอาบแก้มช้าๆ ฉันรู้แล้วว่าเด็กผมขอดร้องไห้ง่ายดายเสมอ แต่ในท่ามกลางทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้พบเจอ น้ำตานั้นแหละคือสิ่งมีค่า

ยิ่งหลั่งไหลออกมา มันยิ่งทำให้ฉันพอจะมีเหตุผลอยู่ต่อไปได้

“ร้องไห้อีกแล้ว! ร้องทำไม?”

“…ปิม ปิมคิดถึงพี่”

“พี่ตายแล้วหรือยังไง?”

“…มะ ไม่ใช่ ก็แค่…ก็แค่คิดถึง”

“เด็กโง่!” ฉันตวาดเข้าใส่

แต่เด็กผมขอด ก็ยังโง่เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง ต่อให้โดนว่าแรงๆ ก็ยังเอาแต่ยืนร้องไห้ ฉันถอนหายใจหนักๆ อย่างต้องการให้ได้ยิน ก่อนจะขยับตัวอีกแค่ครึ่งก้าว แล้วร่างผ่องขาวก็แทบจะโถมเข้ามาหา

“…พี่คะ”

ฉันผลักเด็กผมขอดออกซึ่งหน้า

“อย่ามาขี้แยอย่างนี้! ดูสิ ร้องไห้เป็นลูกหมา!”

ใครกันนะคือลูกหมา หรือว่าตัวฉันด้วยที่ก็เป็นหมา ชีวิตขี้หมา หลงวนกันอยู่ในเรื่องน่าเบื่อซ้ำซากไปมา มีคนบอกว่ารักฉัน และฉันก็ฝันถึงคนอื่น แต่ทั้งๆ ที่คิดถึงคนอื่น ฉันก็นอนกับอีกคนเสมอมา มีดวงตากี่คู่ที่จ้องดูฉัน และสายตาของฉันต้องการจะจ้องมองใคร? ไม่มีคำตอบอะไรเลยในอีกวันที่เปล่าว่าง

ฉันเพียงตระหนักว่ามีแต่ความหม่นมัวแวดล้อมสองฟากทาง บนฟ้ามีดวงดาวทยอยขึ้นสุกใสกระจ่าง หากดวงใจของหวาน ดวงใจของเด็กผมขอด ดวงใจของฉัน หรือแม้แต่ดวงใจของพี่โสม พวกมันก็แค่เศษเนื้อก้อนเล็กๆ กลางอกใจ ทุกวันเต้นตุบไปอย่างไร้ค่า โง่เขลาพอๆ กัน