ถึงเวลารัฐบาล ปฏิรูปชาวนาไทย แก้ปัญหาราคาข้าวตกต่ำซ้ำซาก

AFP PHOTO / NICOLAS ASFOURI

ย่างเข้าเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ของทุกปีนับเป็นฤดูกาลปกติที่ผลผลิตข้าวนาปีเกือบทั้งประเทศถึงเวลาเก็บเกี่ยวและออกสู่ท้องตลาดพร้อมกันในปริมาณมาก ราว 75% ของผลผลิตข้าวนาปีทั้งหมด และถือเป็นช่วงปกติที่จะพบเห็นเรื่องราคาข้าวตกต่ำ

แต่ว่ากันว่าปีนี้ราคาข้าวเมื่อคิดเป็นกิโลกรัมแล้วพบว่าราคาถูกกว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป!!

นายนิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) อธิบายราคาข้าวที่ลดลงผ่านบทความ ทำไมราคาข้าวหอมมะลิลดฮวบ : ใครคือแพะ? ตอนหนึ่งว่า ตั้งแต่กลางตุลาคมเป็นต้นมา ราคาข้าวเปลือกหอมมะลิทรุดฮวบแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ราคาข้าวเปลือกที่เป็นข้าวเก่าลดลงจาก 12,090 บาทต่อตันในเดือนกันยายน เหลือ 10,500 บาทต่อตันในวันที่ 28 ตุลาคม 2559 หรือลดลง 13% เทียบกับช่วงเดือนมิถุนายนถึงกันยายนปีนี้ที่ลดลงเพียง 2% ราคาข้าวนี้เป็นราคาที่ต่ำที่สุดในรอบ 9 ปี

“ราคาข้าวเปลือกลดลงอย่างรวดเร็ว เพราะราคาข้าวสารหอมมะลิส่งออกที่เป็นราคาล่วงหน้าในเดือนธันวาคม 2559 ลดฮวบมาเหลือเพียง 548 เหรียญสหรัฐ เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2559 ต่ำกว่าราคาตลาด 720 เหรียญเมื่อ 28 ตุลาคม 2559 ผลคือ ราคาขายส่งข้าวสารหอมมะลิใหม่เดือนแรกของการเก็บเกี่ยว (พฤศจิกายน 2559) เฉลี่ยหาบละ 1,330 บาท เทียบกับราคาของปีที่แล้วหาบละ 1,750 บาท ลดลงไป 420 บาท เป็นการลดลงแบบผิดปรกติ”

บทความระบุ

 

นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ปีนี้ฝนดีทำให้ผลผลิตข้าวโลกเพิ่มขึ้น 2.4% สวนทางการบริโภคข้าวของประชากรโลกที่ลดลงตามการบริโภคอาหารจำพวกแป้งลดลง 1.5% และสต๊อกข้าวโลกเพิ่มขึ้น 4.3% ส่งผลต่อราคาข้าวโลก รวมถึงไทยที่ราคาปรับลดลง

ด้านปริมาณข้าวหอมมะลิในประเทศ คาดปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 10 ล้านตัน จาก 8 ล้านตันในปีที่แล้ว และคาดว่าข้าวนาปีจะเพิ่มเป็น 27 ล้านตัน จากปีที่แล้ว 23 ล้านตัน และช่วงปลายเดือนตุลาคมถึงต้นพฤศจิกายน มีฝนตกมาก ชาวนาเร่งเกี่ยวข้าว ทำให้ข้าวมีความชื้นสูงทำให้ราคายิ่งตกต่ำลง

แต่เรื่องนี้ดูไม่แรงเท่ากับกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ออกมาระบุว่า ต้นเหตุที่ราคาข้าวเปลือกโดยเฉพาะข้าวหอมมะลิในประเทศตกต่ำ เป็นเพราะมีการร่วมมือกันระหว่างนักการเมืองในพื้นที่ร่วมกับโรงสีบางโรงสีกดราคาข้าวลง จนทำให้ราคาข้าวตกต่ำ หวังให้ประชาชนต่อต้านหรือขัดแย้งกับรัฐบาล

เรื่องนี้สมาคมโรงสีข้าวไทย และสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยต้องรีบออกมายืนยันว่า ค้าขายข้าวตามกลไกตลาด ไม่ได้กดราคาแต่อย่างใด ขณะเดียวกันคณะกรรมการสมาคมโรงสีข้าวไทยประกาศยุติบทบาทเช่นกันหลังถูกข้อกล่าวหาหนักหน่วง

 

อย่างไรก็ตาม หากมาดูเรื่องตลาดข้าวแล้วพบว่าในบ้านเรามี 2 ตลาดหลักที่เกี่ยวเนื่องกัน คือ ตลาดข้าวเปลือกและข้าวสาร โดยตลาดข้าวเปลือก ชาวนาจะขายข้าวสู่ผู้ซื้อหลายกลุ่ม ทั้งผู้รวบรวมท้องถิ่น ตลาดกลางข้าวเปลือก และสถาบันเกษตรกร ซึ่งล้วนจะเป็นผู้รวบรวมให้แก่โรงสีเพื่อแปรรูปเป็นข้าวสาร

ส่วนตลาดข้าวสาร โรงสีจะส่งข้าวไปให้กับนายหน้า (หยง) และผู้ส่งออก รวมถึงส่งให้ผู้ค้าส่งในประเทศ เพื่อส่งต่อไปยังผู้ค้าปลีกและผู้บริโภค

ส่วนราคาซื้อขายข้าวในประเทศ ตามหลักการ ต้นทางมาจากราคาข้าวตลาดโลก ส่งผ่านมายังราคาข้าวตลาดส่งออกของไทย ซึ่งจะส่งต่อมายังราคาขายส่งข้าวตลาดกรุงเทพฯ และลดหลั่นมาเป็นราคาข้าวตลาดกลางท้องถิ่นและโรงสี สุดท้ายจะทอนเป็นราคาข้าวเปลือกที่ชาวนาขายได้

แต่เมื่อราคาข้าวในปีการผลิต 2559/2560 ตกต่ำ ภาครัฐจึงมีมาตรการช่วยเหลือชาวนาทั้งการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าและแก้ไขปัญหาในระยะสั้นก่อน โดยให้หน่วยงานภาครัฐรับซื้อข้าวจากชาวนา แปรรูปและนำข้าวสารบรรจุถุงมาขายส่งตรงถึงมือผู้บริโภค ส่งเสริมให้นำข้าวเป็นของขวัญปีใหม่

รวมถึงมีมาตรการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกหอมมะลิและข้าวเหนียว (จำนำยุ้งฉาง) เป้าหมายเก็บข้าว 2 ล้านตัน ชาวนาจะได้เงินรวม 13,000 บาทต่อตัน

 

ล่าสุด มีมาตรการจำนำยุ้งฉางข้าวเปลือกเจ้า จะได้รับเงินรวม 10,500 บาทต่อตัน และข้าวเปลือกข้าวปทุมธานี จะได้รับเงินรวม 11,300 บาทต่อตัน และยังมีมาตรการชดเชยดอกเบี้ยให้แก่ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต๊อก เป้าหมายเก็บข้าว 8 ล้านตัน และมาตรการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันสถาบันเกษตรกร เป้าหมายเก็บข้าว 2.5 ล้านตัน เป็นต้น

“ส่วนการแก้ไขปัญหาราคาข้าวอย่างยั่งยืนนั้น จะต้องทำทั้งระบบและครบวงจร เช่น การปรับลดพื้นที่การเพาะปลูกข้าวลง สร้างความเข้มแข็งในระบบสหกรณ์และการทำรวมกลุ่มนาแปลงใหญ่ เพื่อเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุน บริหารจัดการข้าวทั้งระบบให้เป็นไปตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร มุ่งเน้นให้การตลาดนำการผลิต ขณะเดียวกัน รักษาตลาดเก่าส่งออกข้าวไว้และขยายตลาดใหม่ๆ ทั้งรูปแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล อยู่ระหว่างการหารือ 5-6 ประเทศ และเอกชนต่อเอกชน”

ซึ่งนางอภิรดีมั่นใจว่ามาตรการช่วยเหลือชาวนาและแผนการตลาด จะช่วยเพิ่มปริมาณบริโภคข้าว ส่งออก และดูดซับข้าวออกจากตลาด ส่งผลให้ราคาข้าวเพิ่มขึ้น

ส่วนส่งออกข้าวปีนี้ มั่นใจว่าเกิน 9 ล้านตัน

 

นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ อธิบดีกรมการข้าว เปิดเผยว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนยุทธศาสตร์ข้าวไทย 5 ปี (2560-2564) เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการผลิตและการตลาดให้สอดคล้องกัน เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตชาวนาให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน โดยแผนภายใน 5 ปี ให้สอดคล้องกับจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น แต่สวนทางกับแนวโน้มการบริโภคข้าวที่ลดลงส่งผลให้เป้าหมายผลผลิตข้าวให้เหลือไม่เกิน 33 ล้านตันข้าวเปลือก ใกล้เคียงกับผลผลิตในปัจจุบัน แบ่งเป็นข้าวนาปี 23 ล้านตันข้าวเปลือก นาปรัง 10 ล้านตันข้าวเปลือก

สำหรับยุทธศาสตร์ข้าวไทย 5 ปี มีเป้าหมายให้ไทยเป็นศูนย์กลางการค้าและส่งออกข้าว มีงาน 8 ด้าน คือ

1. สร้างความเข้มแข็งให้แก่ชาวนาและองค์กรชาวนา ให้สามารถพึ่งพาตนเองได้

2. ควบคุมพื้นที่เพาะปลูกและปริมาณผลผลิตข้าวให้เหมาะสม

3. เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว และลดต้นทุนการผลิต

4. ยกระดับคุณภาพการผลิตและมาตรฐานสินค้าข้าวทั้งระบบ

5. เพิ่มประสิทธิภาพระบบการจัดการส่งสินค้าหรือโลจิสติกส์ ลดต้นทุนการบริหารจัดการข้าวทั้งระบบ

6. สร้างความเป็นธรรมในระบบการค้าข้าว ระบายข้าวเพื่อส่งออกไม่น้อยกว่าปีละ 9 ล้านตัน และส่งเสริมให้ชาวนามียุ้งฉางกลาง จัดการระบบโรงสีและตลาดกลางให้มีครอบคลุม

7. สร้างค่านิยมการบริโภคข้าว สนับสนุนสร้างโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์ข้าว

และ 8. ส่งเสริมวิจัย พัฒนา และสร้างนวัตกรรมข้าว

 

นับเป็นสัญญาณที่ดีในการริเริ่มแผนงานระยะยาว ในการพัฒนาและยกระดับการบริหารจัดการข้าวภายในประเทศให้ครบวงจร ตั้งแต่การผลิตที่เริ่มจากชาวนา ลากยาวถึงโรงสีและผู้ส่งออกข้าว เพื่อเดินหน้าสู่ความยั่งยืน

แต่เรื่องดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยความร่วมมือ รวมถึงความสมัครใจจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการทำให้นโยบายบนแผ่นกระดาษมาสู่การปฏิบัติจริง ขณะเดียวกัน ต้องเดินหน้าด้วยความเป็นธรรม มิใช่เพียงระดับนโยบายพยายามดูแลตลาดให้เป็นดั่งใจ เพราะในทางปฏิบัติทำได้เพียงระยะสั้นเท่านั้น

ส่วนระยะยาวที่เป็นโจทย์สำคัญที่ทุกฝ่ายต้องร่วมกันแก้ โดยเฉพาะทำอย่างไรให้ต้นทุนการผลิตต่ำที่สุด

เพื่อให้ชาวนายืนอยู่บนลำแข้งของตัวเองได้ แม้ว่าราคาจะเตี้ยต่ำก็ตาม!!