วางบิล / เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์ / สู่ร่มกาสาวพัสตร์ เหตุแห่งความกลัว

วางบิล / เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์

สู่ร่มกาสาวพัสตร์

เหตุแห่งความกลัว

 

บนลานเขาสุกิมยังไม่ถึงยอดเขา มีต้นไม้ใหญ่น้อยเป็นป่าเบญจพรรณ ช่วงหนึ่งเป็นหลุบไม่ลึกนักมีวงรอบหลุบ เป็นต้นไม้ใหญ่และเถาวัลย์พอที่จะห้อยโหนหรือทำชิงช้านั่งเล่นได้ พระนักศึกษาหนุ่มสองสามรูปจินตนาการตัวเองเป็นทาร์ซานโหนเถาวัลย์ข้ามหลุบไปอีกฝั่ง หัวเราะสนุกสนาน แต่ไม่ถึงกับโห่อย่างทาร์ซาน ไม่อย่างนั้นประเดี๋ยวช้างออกมาจะได้วิ่งหนีกันกระเจิง

พระหนุ่มอีกสามสี่รูปเห็นดีด้วย ขอโหนเล่นมั่ง เสียงหัวเราะยิ้มแย้มแจ่มใสตามประสาคนหนุ่มที่ยังอยู่ในวัยสนุกสนาน แม้แต่พระปานยังอดใจไว้แทบไม่ได้ แต่ด้วยเป็นคนกลัวความสูง จึงเพียงมองดูพระหนุ่มสี่ห้ารูปนั้นสนุกกับการโหนเถาวัลย์ข้ามหลุบไปกลับจากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่ง

พระหนุ่มอีกสองสามรูปสร้างชิงช้าระหว่างเถาวัลย์สองเส้นทั้งนั่งทั้งยืนโล้สนุกไปอีกแบบ

กระทั่งได้เวลาพอสมควร แสงแดดเริ่มคล้อยบ่าย จึงชวนเดินกลับลงมา แต่เดินไปเดินมา ทำไมยังย้อนมาที่เดิม จึงหารือกันว่าน่าจะหลงทาง พระรูปหนึ่งบอกให้ทำเครื่องหมายไว้ที่ต้นไม้เมื่อเดินผ่าน ครั้นเมื่อเดินมาถึงตรงที่ทำเครื่องหมายไว้จึงรู้ว่าหลงทางแน่

ใครเคยเดินป่าขากลับจะพบว่าการหลงป่าเป็นเรื่องปกติ หากไม่ชำนาญทาง ในที่สุดเมื่อเริ่มจับทิศทางถูกจากแสงอาทิตย์ที่คล้อยมาทางทิศตะวันตก การเดินย้อนกลับจึงเริ่มถูกทิศถูกทางขึ้น พระรูปหนึ่งร้องบอกให้เร่งเดิน ประเดี๋ยวแสงอาทิตย์คล้อยลงกว่านี้จะมืดมองไม่เห็นทาง บางรูปเตือนให้เดินเกาะกลุ่ม อย่าแตกกลุ่ม ประเดี๋ยวหลงกลับลงไปที่กุฏิไม่ถูก

ที่สุดใช้เวลาอีกสักครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ เริ่มเห็นทางที่เดินขึ้นมา ทำให้รู้ว่าเดินทางถูกทางกลับกุฏิ

โล่งอกไปที

 

พระนักศึกษาแต่ละรูปรีบกลับเข้ากุฏิ ชำระล้างร่างกาย เช่นเดียวกับพระปานที่เหงื่อโซม ผ้าสบงจีวรเปียกชุ่ม ต้องเปลี่ยนผืนใหม่ สรงน้ำ เตรียมตัวลงไปศาลาการเปรียญ ปฏิบัติภารกิจประจำวัน

ที่ศาลาการเปรียญ แม่ชีอุบาสกอุบาสิกาเตรียมน้ำปานะไว้ให้เรียบร้อย คงรู้ว่าพระนักศึกษาเพิ่งกลับลงมาที่กุฏิ ยังไม่ได้ฉันน้ำปานะ มีเพียงบางรูปที่ไม่ได้หายเข้าป่าไปด้วย

หลังเข้านั่งตามที่เรียบร้อย ตรวจนับจำนวนพระนักศึกษาและพระที่ร่วมพิธี พระเจ้าหน้าที่จึงทราบว่ามีพระมาร่วมฝึกเรียนสมาธิหายไปหนึ่งรูป ได้ยินเสียงพระผู้ใหญ่รูปหนึ่งเปรยขึ้นว่า ประเดี๋ยวชาวบ้านคงมาส่ง

เป็นจริงอย่างว่า สักพักใหญ่ ชาวบ้านนำพระหนุ่มรูปนั้นมาส่งที่ศาลาการเปรียญ ได้ความว่าหลงป่า เดินลงไปถึงหมู่บ้าน ยังเป็นช่วงหัวค่ำ ชาวบ้านเตรียมรอรับพระนักศึกษาหลงป่าซึ่งมีแทบทุกรุ่น ได้ความว่า พระหนุ่มรูปนั้นเดินหลงทางลงมาถึงลำธารเล็กๆ เจอะงูไม่ทราบว่าเป็นงูเห่าหรือจงอาง ตกใจยืนนิ่งกับที่ กระทั่งงูเลื้อยไปอีกทางหนึ่ง จึงเดินท่องน้ำตามลำธารมาเห็นแสงไฟในหมู่บ้าน

ตอบคำถามชาวบ้านสองสามคำถาม ชาวบ้านสองสามคนนั้นจึงพามาส่งที่วัดเขาสุกิม เป็นอันรอดไป ทำเอาพระปานและคงเป็นพระนักศึกษาที่ขึ้นไปบนลานภูเขาคิดว่า ดีที่เดินกลับแล้วไม่หลงป่าไปด้วย แต่หากหลงจริง พระตั้งหลายรูปหายไปคงมีใครต่อใครขึ้นไปตามให้จ้าละหวั่น

มีโอกาสขึ้นไปผจญความสนุกบนลานเขาสุกิมครั้งเดียว พระปานคิดว่าตัวเองคงพอแล้ว บ่ายอีกวันจึงออกเดินไปบริเวณไม่ไกลจากกุฏิ ตั้งใจหาบริเวณที่ว่างพอนั่งสมาธิคนเดียว พบซอกเขาตรงนั้น พอนั่งสมาธิ บริเวณรอบด้านโล่ง ไม่มีสิ่งกีดขวาง จึงลองเข้าไปนั่ง

ตั้งใจทำสมาธิสักพักใหญ่

 

อยู่คนเดียว แม้เป็นกลางวัน แต่ความเงียบสงัด เสียงหรีดหริ่งดังขึ้นพร้อมเพรียงเป็นครั้งคราว มีเสียงร้องของสัตว์ป่าอื่นเป็นพักๆ ความรู้สึกระหว่างลืมตากับหลับตาต่างกันบ้าง ระหว่างลืมตายังพอมีแสง แต่มองไม่เห็น ครั้นลืมตา ภาพเบื้องหน้าคงเป็นเช่นก่อนหลับตา

นึกไปถึงพระธุดงค์ที่เดินป่าเพียงรูปสองรูป พอเห็นภาพพระธุดงค์ที่เดินป่าพร้อมกับสัมภาระ คือกลดชนิดแขวนที่ต้องแบกบนไหล่ข้างหนึ่ง อีกมือหิ้วสัมภาระอื่น บ่าข้างหนึ่งสะพายบาตร ต้องเดินกันเป็นวันๆ ต้องกางแขวนกลดพักแรมตอนกลางคืน คงน่ากลัวไม่ใช่น้อย

เมื่อฟังหลวงพ่อพระพุธแห่งโคราชเล่าถึงคราวทำสมาธิและเดินธุดงค์ พระปานแทบจะเห็นภาพทางเดินในป่าที่ไม่มีทางให้รู้ว่าจะไปถึงไหน ทั้งยังต้องกางกลดแขวนใต้ต้นไม้บนกิ่งใหญ่ที่ยื่นออกมาจากลำต้น

หลวงพ่อพระพุธเล่าถึงครั้งหัดทำสมาธิใหม่ๆ เคยถูกผีหลอก ไม่รู้ว่าเป็นผี ด้วยเห็นผู้ที่รู้จักแต่ตายไปแล้ว รูปร่างมิได้น่ากลัว เป็นคนธรรมดาอย่างเราๆ นี่แหละ เพียงติดต่อพูดจากันไม่ได้ ถามว่ากลัวไหม ตอบว่าบางทีนึกกลัว แต่ไม่เห็นเป็นผีจึงไม่น่ากลัว เป็นอย่างนี้หลายหน ที่สุดเมื่อรู้ว่าทำสมาธิแล้วเห็นโน่นเห็นนี่ ได้แต่ส่งจิตให้ตามไปกระทั่งภาพเหล่านั้นหายไปเอง

เมื่อเกิดขึ้นอีกจึงไม่รู้สึกกลัวแต่อย่างใด

 

พระปานเริ่มคุ้นชินกับบริเวณรอบกุฏิและบริเวณที่ห้ามอุบาสกอุบาสิกา แม้แม่ชีผ่านทางที่ตั้งกุฏิขึ้นไปข้างบนเขา แต่พระนักศึกษายังขึ้นไปบ่อย บางรูปอาจขึ้นไปหาที่สงบปฏิบัติสมาธิ บางรูปชอบขึ้นไปเที่ยวเล่นบนลานนั้นด้วยเคยชินกับเส้นทางจึงขึ้นลงเร็วกว่าครั้งแรก และไม่หลง

คืนนั้น เดือนหงายมีแสงสว่างรอบบริเวณกุฏิ หลังปฏิบัติภารกิจเสร็จแล้ว พระปานกลับกุฏิ ตั้งใจว่าจะลงมานั่งสมาธิบริเวณลานข้างกุฏิที่มีต้นไม้ใหญ่ติดด้านนั้น

ความสว่างจากแสงจันทร์ทำให้การมาที่ลานหินข้างกุฏินั้นไม่ยากนัก ทั้งอากาศเริ่มเย็นสบาย

พระปานจัดการกับที่ทางจะนั่งสมาธิ ปูอาสนะรองนั่ง มองดูรอบบริเวณลานหิน ไม่เห็นว่ามีสิ่งใดน่ากลัว คงไม่มีงูหรือสัตว์เลื้อยคลาน เช่น ตะขาบ แมงป่อง อยู่ในบริเวณนั้น

ตั้งใจนั่งในท่าสมาธิ ขาซ้ายทับขาขวา หลังมือซ้ายทับฝ่ามือขวาบนตัก มองไปรอบๆ บริเวณอีกครั้ง ก่อนหลับตากำหนดลมหายใจเข้า หายใจออกดังเคยปฏิบัติมาทั้งก่อนบวช ขณะบวชถึงวันนี้

จนเริ่มรู้สึกจิตนิ่ง

 

ระหว่างหลับตาทำสมาธิ หายใจเข้า หายใจออกตามจังหวะกำหนด เสียงลมพัดผ่านมาต้องต้นแขนข้างหนึ่งเริ่มเย็น จิตเริ่มเขว เกิดภาพรอบบริเวณในมโน ลานหินโล่งเรียบเบื้องหน้ากลายเป็นป่าหญ้ามีต้นไม้ใหญ่น้อยขึ้นเต็มไปหมด เสียงลมเริ่มดังขึ้น ภาพที่เห็นเบื้องหน้าในมโน ต้นไม้ใหญ่คล้ายจะล้มโค่นลงมา

พยายามสงบจิตมิให้วอกแวก สักพักด้วยเวลาประเดี๋ยว แต่ในความรู้สึกดูจะยาวนาน บนลานหินเบื้องหน้าน่าจะมีงู สัตว์เลื้อยคลานที่ใกล้เข้ามา สำนึกหนึ่งขณะนั้น ความกลัวเริ่มปรากฏขึ้นในความมืด

แล้วความกลัวนั้นเพิ่มขึ้นกระทั่งถึงที่สุด ข้างหน้ามีสัตว์เลื้อยคลานเลื้อยพุ่งเข้ามาที่ตัวนั่งอย่างรวดเร็ว ต้นไม้ใหญ่เบื้องหลังกำลังโค่นลงมาทับ วินาทีนั้นความกลัวสุดขีดเกิดขึ้นถึงกับต้องลืมตา แต่ไม่พบสิ่งผิดปกติอย่างใด หัวใจเต้นแรง…เหงื่อแตก ความกลัวเป็นเช่นนี้เอง กลัวขณะมองไม่เห็น

กลัวในสิ่งที่คิดไปเองโดยแท้…