วิถีแห่งอำนาจ เอี้ยก่วย / เสถียร จันทิมาธร/อาวุธลับ ลับสุดยอด (162)

เสถียร จันทิมาธร

วิถีแห่งอำนาจ เอี้ยก่วย / เสถียร จันทิมาธร

 

อาวุธลับ ลับสุดยอด (162)

 

ระหว่างที่ 2 พี่น้องตระกูลก๊วยถกเถียงกันอยู่และก๊วยเซียงจะวิ่งไปยังประตูศาลก็ปะทะกับคนผู้หนึ่งรูปร่างใบหน้าดำมะเมื่อม ร่างท่อนบนสั้นผิดธรรมดา เพราะ 2 เท้าขาดด้วน ใต้ซอกแขนยันไม้เท้ายาวถึง 6 เชียะคู่หนึ่ง

คนผู้นี้คือนีมอซิง แม้เท้าขาด แต่พลังฝีมือไม่สูญสิ้น หลังผ่านการฝึกปรือมา 10 กว่าปี ความสำเร็จมีแต่เหนือกว่าก่อนที่เท้าขาด

เป้าหมายของนีมอซิงคือจับตัวก๊วยพู้ก๊วยเซียงไปเป็นตัวประกัน

ในยามประสบกับศัตรูภายนอก ก๊วยพู้ห่วงใยน้องสาวอย่างที่สุด รู้สึกว่าพลังกดดันของไม้เท้ามีมอซิงยิ่งมายิ่งหนักหน่วง ยังมีพลังดูดรั้งอันหยุ่นเหนียวสายหนึ่งคอยฉุดลากกระบี่ในมือนาง ขณะที่ปลายกระบี่เสือกแทงออกต้องหักเหเฉไฉ

ก๊วยเซียงคิดปกป้องเจ้เจ๊สะบัดฟาดฝ่ามือบุปผาร่วง คุ้มครองอยู่ด้านหลัง ปากร้องว่า “เจ้เจ๊ ท่านไปก่อน”

เมื่อเผชิญหน้ากับนีมอซิงแต่เดียวดาย ก๊วยเซียงตื่นตระหนกยิ่ง เห็นใบหน้าดำคล้ำฝ่ายตรงข้ามอัปลักษณ์ 2 ตาเบิกโพลง เผยเห็นเขี้ยวขาวแวววาว ราวกับจะโถมเข้ามากัดกิน อดกรีดร้องเสียงแหลมเล็กมิได้ พลันได้ยินที่ด้านหลังบังเกิดสุ้มเสียงอ่อนโยนเสียงหนึ่ง

“ไม่ต้องกลัว ใช้อาวุธลับซัดใส่”

 

โดยสัญชาตญาณก๊วยเซียงรีบล้วงเข้าไปในอกเสื้อพบว่าไม่มีอาวุธลับ ขณะที่นีมอซิงคุกคามใกล้เข้ามาจึงใช้ 2 มือออกด้วยท่วงท่าโปรยบุปผา (ซั่วฮวยสี่)

ฝ่ามือเพิ่งยื่นออก

ด้านหลังพลันปรากฏลมบางเบาหอบหนึ่งโชยพัดมารู้สึกข้อแขนขยับเล็กน้อย กำไลใยทองลายดอกพุดตานบนข้อมือพลันหลุดแหวกพุ่งออกไป เสียงติง ติง 2 ครา เมื่อปะทะชนกับไม้เท้าเหล็กของนีมอซิง

เสียงกระทบกระแทกทั้ง 2 ครั้งนี้เบายิ่ง

ตรงกันข้าม นีมอซิงกลับไม่อาจถือไม้เท้าไว้มั่น ไม้เท้าเหล็กดำมะเมื่อมทั้ง 2 ปลิวลิ่วไปด้านหลัง เสียงโครม โครม เมื่อปะทะชนกับผนังศาล

สั่นสะเทือนจนฝุ่นละอองบนขื่อร่วงพรั่งพรู

ไม้เท้าพอหลุดจากมือร่างก็ล้มฟาด แต่ก็หงายร่างตีลังกาทอดหนึ่ง กลางหลังพอแตะสัมผัสพื้นก็หยิบยืมสภาวะกระโดดปราดขึ้น ส่งเสียงร้องด้วยโทสะ ยื่นนิ้วดำคล้ำทั้ง 10 ออกถาโถมเข้าหาก๊วยเซียงอย่างหักโหม

แต่ที่ตื่นตระหนกมากกว่ากลับเป็นก๊วยเซียง ไม่ทันขบคิดใคร่ครวญ ยกมือถอนหยกเขียวจากเรือนผม ตวัดมืดซัดใส่ รู้สึกที่ด้านหลังบังเกิดกระแสลมแผ่วเบาอีกคราหนุนส่งปิ่นหยกไปเบื้องหน้า นีมอซิงมือซ้ายยื่นนำ มือขวาตามหลัง พลันเห็นปิ่นหยกมีสภาวะประหลาดพิกล

จากนั้นร้องคำ “ประหลาด” กระแทกนั่งลงกับพื้น ไม่ขยับเคลื่อนไหวอีก

 

นี่ย่อมเป็นความประหลาด ไม่ว่าจะมองจากนีมอซิง ไม่ว่าจะมองจากก๊วยเซียง ไม่ว่าจะมองจากก๊วยพู้ ยิ่งที่เห็นเป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้ายิ่งมากด้วยความประหลาดใจ

2 เจ้ม่วยยืนอยู่ข้างรูปปั้นเอียวเก๋า เห็นนีมอซิงไม่ไหวติง

“หรือว่าเขาเป็นลมปัจจุบันทันด่วนเสียชีวิต” ก๊วยพู้เห็นและตั้งข้อสังเกตพลางส่งเสียงตวาด “นีมอซิง ท่านก่อกวนเลศนัยใด”

หวนนึกถึงนีมอซิงปล่อยให้ไม้เท้าเหล็กหลุดจากมือเคลื่อนไหวไม่สะดวก ยามนี้ไม่ต้องเกรงกลัวฝ่ายตรงข้ามอีก จึงถือกระบี่สืบเท้าออกไปหลายก้าว ภาพที่เห็นเบื้องหน้า นีมอซิงลืมตาโพลง สีหน้าเปี่ยมแววหวาดหวั่นพรั่นพรึง อ้าปากค้าง

ถึงกับเสียชีวิต

เห็นใจกลางฝ่ามือนีมอซิงทั้ง 2 ข้างล้วนถูกทะลวงเป็นรู ปิ่นหยกเขียวอันหนึ่งปักใส่จุดซิ้งเท้งกลางขม่อม ปิ่นหยกเขียวนี้เพียงกระแทกเบาๆ ก็หักไป กลับสามารถทะลวงทะลุฝ่ามือของยอดฝีมือผู้นี้ค่อยปักใส่จุดชีวิตสังหารคนถึงแก่ชีวิต

นี่ย่อมเป็นปิ่นหยกเขียวของก๊วยเซียง

 

มองจากมุมของเยลุกชี้ สามีก๊วยพู้ การตายของนีมอซิงหากมิใช่ฝีมือระดับอึ้งเอี๊ยะซือ ก็ต้องเป็นฝีมือระดับจิวแป๊ะทง

ยากเป็นอย่างยิ่งที่จะเป็นฝีมือของก๊วยเซียง แม้จะเป็นปิ่นของก๊วยเซียงก็ตาม

กล่าวสำหรับก๊วยเซียงเอง เมื่อซัดปิ่นหยกเขียวออกก็เหลียวไปยังด้านหลัง แต่กลับว่างเปล่าไร้ผู้คน ในใจนึกทบทวนถึงคำพูดที่ว่า “ไม่ต้องกลัว ใช้อาวุธลับซัดใส่” รู้สึกว่าสุ้มเสียงคุ้นหูยิ่ง

หรือว่าจะเป็น “เอี้ยก่วย”

แต่พอนึกถึงเอี้ยก่วย นางต้องรำพึงในใจ “มิใช่เขาแน่นอน เพียงแต่เรามุ่งหวังให้เป็นเขา จึงฟังสุ้มเสียงผู้อื่นว่าเป็นเขา”

ตกลงเป็นใคร