จับตาปรากฏการณ์ ทำไม “นาคี 2” ระเบิดระเบ้อ แรงกว่าฮอลลีวู้ด!

เป็นภาพยนตร์ไทยที่กำลังมาแรง ช่วยกอบกู้วงการภาพยนตร์ไทยที่อยู่ในภาวะซบเซามานานให้กลับมาคึกคักและฟื้นตัวอีกครั้งในช่วงส่งท้ายปี สำหรับ “นาคี 2”

ภาพยนตร์ไทยแนวแฟนตาซี-ระทึกขวัญ สร้างมาจากนวนิยายในชื่อเดียวกันของ “ตรี อภิรุม” ผลิตโดย ดู เอ็นเตอร์เทนเม้นท์, เซิร์ช เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ และบีฮีมอธ แคปิตอล จัดจำหน่ายโดยเอ็ม พิคเจอร์ส

กำกับฯ โดย “อ๊อฟ” พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง

ภาพยนตร์ที่ถูกสร้างเป็นภาคต่อจากความสำเร็จของ “นาคี” เวอร์ชั่นละคร ที่เคยออกอากาศทางช่อง 3 เมื่อปี พ.ศ.2559 เจ้าแห่งปรากฏการณ์ความแรง ทำเรตติ้งต่อตอนสูงสุดและเรตติ้งเฉลี่ยสูงสุดของปี 2559 ชนะละครจากทุกช่อง

ที่รอบนี้ได้พระ-นางคู่ขวัญอย่าง “ณเดชน์ คูกิมิยะ” และ “ญาญ่า อุรัสยา” มารับบทนำ

ร่วมด้วย “แต้ว ณฐพร”, “เคน ภูภูมิ”, “อุ้ม ลักขณา” นักแสดงหลักจากภาคที่เป็นละคร และนักแสดงมากฝีมืออีกคับคั่ง

เข้าโรงภาพยนตร์ไปตั้งแต่วันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ.2561 ที่ผ่านมา

นาคี 2 เรื่องราวว่าด้วย “สร้อย” (รับบทโดยญาญ่า-อุรัสยา เสปอร์บันด์) สาวดอนไม้ป่า ผู้เติบโตมาพร้อมกับความเชื่อและศรัทธาต่อเจ้าแม่นาคี

เธอช่วยยายขายดอกไม้ถวายเจ้าแม่ และคอยดูแลเทวาลัยแห่งนี้

สร้อยจึงมีความผูกพันกับเจ้าแม่นาคีเป็นอย่างมาก

แต่หลังจากที่ “ร.ต.อ.ป้องปราบ” (รับบทโดยณเดชน์ คูกิมิยะ) ถูกย้ายมาประจำที่ สภ.ดอนไม้ป่า ก็เกิดคดีสะเทือนขวัญขึ้นอย่างมากมาย

โดยหลายคดีเกิดขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ และมีเงื่อนงำที่คลี่คลายไม่ได้

โดยชาวบ้านต่างปักใจว่าเป็นฝีมือของเจ้าแม่นาคี ที่กำลังออกอาละวาดอีกครั้ง

และเหตุการณ์ยิ่งพาให้ชาวบ้านต่างแน่ใจว่า สร้อยเป็นร่างประทับของเจ้าแม่นาคี แม้แต่ตัวสารวัตรป้องปราบ ผู้ที่ไม่เคยเชื่อในเรื่องราวลี้ลับเหนือธรรมชาติ ยังลังเลต่อคำกล่าวหาที่สร้อยได้รับ

จนทำให้ต้องค้นหาความจริงเบื้องหลังคดีลึกลับในดอนไม้ป่าแห่งนี้

ในตอนแรก นาคี 2 มีกำหนดฉายในโรงภาพยนตร์เดือนสิงหาคม แต่เนื่องจากติดปัญหาเรื่องซีจี ที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ จึงต้องเลื่อนมาฉายในเดือนตุลาคม

 

เรื่องนี้ทางผู้กำกับฯ “อ๊อฟ พงษ์พัฒน์” เปิดเผยว่า “ที่ช้าเพราะอยากให้งานออกมาดีที่สุด ถ้าทำออกมาแล้วไม่ดีก็จะโดนด่า เพราะฉะนั้น เอาให้โดนด่าน้อยที่สุดดีกว่า พยายามตั้งใจแต่ไม่ได้กดดัน ทำแล้วก็อยากทำให้มันดีที่สุด”

รวมไปถึงตอนแรกจะใช้ทีมงานจากต่างประเทศมาทำซีจี แต่ท้ายที่สุดตัดสินใจใช้ทีมงานฝีมือคนไทย ทีมเดียวกับที่เคยทำในภาคละคร เพราะคนไทยน่าจะมีความเข้าใจและอินในความเชื่อเรื่องพญานาคมากกว่า

ส่วนงบประมาณในส่วนของการทำซีจีนั้น “แดง” ธัญญา วชิรบรรจง ผู้จัดและภรรยาของ “อ๊อฟ พงษ์พัฒน์” เผยทุ่มงบฯ ไปกว่า 20 ล้านบาทเลยทีเดียว

หลังเข้าฉายวันแรก นาคี 2 ได้สร้างปาฏิหาริย์และสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยอีกครั้ง

วันแรกทำรายได้ 17.77 ล้านบาท เฉพาะส่วนของกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และเชียงใหม่ และอีกประมาณ 52.5 ล้านบาท เมื่อนับรายได้รวมทั้งประเทศ

ถือเป็นภาพยนตร์ไทยที่มีรายได้เปิดตัวสูงที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของปีนี้

ทำลายสถิติเดิมที่เป็นของภาพยนตร์เรื่อง “น้องพี่ที่รัก” ที่ทำรายได้รวมวันแรก 13.3 ล้านบาท

และนาคี 2 ยังคงความแรงไม่หยุดแค่นั้น เข้าฉายเพียง 2 วัน ทำรายได้ทะลุ 100 ล้านบาทไปอย่างรวดเร็ว ถือเป็นสถิติใหม่ของรายได้ภาพยนตร์ไทย จากสถิติเดิมคือภาพยนตร์เรื่อง “พี่มาก..พระโขนง” ที่เข้าฉาย 4 วันทำรายได้รวม 100 ล้านบาท ทุบสถิติหนังที่สร้างรายได้เร็วที่สุดในรอบ 10 ปี

มาจนถึง “ตอนนี้” นาคี 2 ทำรายได้ทะลุกว่า 300 ล้านบาท

มาแรงแซงโค้งชนะหนังฮอลลีวู้ดอย่าง “VENOM” ที่รายได้เปิดตัวสุดสัปดาห์แรกในอเมริกาสูงถึง 80 ล้านเหรียญ ส่วนในไทยกวาดรายได้เปิดตัวไปถึง 16 ล้านบาท แต่หากนับรายได้รวมทั้งประเทศ รายได้รวมอยู่ที่ 117.56 ล้านบาท (รายได้ภาพยนตร์ช่วงสุดสัปดาห์ ประจำวันที่ 18-21 ตุลาคม 2561)

ก็ต้องยอมรับว่ากระแสความแรงและรายได้รวม ยังต้องชิดซ้ายให้กับนาคี 2 อยู่ดี

นายพรชัย ว่องศรีอุดมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายภาพยนตร์ไทยและต่างประเทศ บริษัท เอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ในกลุ่มเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป เปิดเผยว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยในปี พ.ศ.2561 มีการเติบโตอย่างเห็นได้ชัด

โดยคาดว่าจะเติบโตถึง 100% จาก 9 เดือนที่ผ่านมามีภาพยนตร์ไทยที่ทำรายได้เกิน 100 ล้านบาทเพียง 4 เรื่อง ได้แก่ “น้องพี่ที่รัก” ของจีดีเฮช 559, “ไบค์แมน ศักรินทร์ ตูดหมึก” ของเอ็ม 39, “ขุนพันธ์ 2” ของสหมงคลฟิล์ม และ “๙ ศาสตรา” ของเอ็ม พิคเจอร์ส

ในขณะที่ไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ถือเป็นช่วงโอกาสทองของภาพยนตร์ไทย มีหนังเข้าฉายมากถึง 11 เรื่อง และคาดว่าจะเป็นภาพยนตร์ที่ทำเงินทั้งสิ้น

และคาดว่าเม็ดเงินในไตรมาสสุดท้าย ภาพยนตร์ไทยน่าจะทำรายได้ถึง 1,000 ล้านบาท

หนึ่งสิ่งที่หลายคนพูดถึงเป็นอย่างมากในโลกออนไลน์หลังไปดูนาคี 2 กลับมาแล้ว นั่นก็คือ กราฟฟิกซีจี ที่อลังการ ยิ่งใหญ่ และสวยงามเกินคาด จนหลายคนเทคะแนนให้เต็มร้อยแบบไม่มีข้อกังขา

โดยเฉพาะพญานาค ที่เป็นซิกเนเจอร์สำคัญของเรื่องนี้ ก็ทำออกมาได้สมจริงและยิ่งใหญ่จนไม่รู้จะกล่าวคำไหนมาชื่นชม

รวมไปถึงทักษะการพูดภาษาอีสานของตัวละคร โดยเฉพาะสาว “ญาญ่า อุรัสยา” ซึ่งเป็นลูกครึ่ง แต่สามารถพูดภาษาอีสานได้อย่างรื่นหู ไม่มีติดขัด

แสดงให้เห็นถึงความพยายามของนักแสดง ที่ฝึกฝนมาเป็นอย่างดี

แต่ใช่ว่านาคี 2 จะไม่มีจุดอ่อนให้ได้เห็น สำหรับคนที่ทนเห็นความสยองของศพและเลือดไม่ไหวต้องทำใจก่อนดู ระดับความสยดสยองอาจกินข้าวไม่ลงเลยทีเดียว

ในส่วนของการเล่าเรื่องที่ดูรวบรัดจนเกินไป ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่หลายคนมองว่าเป็นอีกหนึ่งจุดอ่อน ที่ทำให้เสียคะแนนในส่วนนี้ไปอย่างน่าเสียดาย

แต่ถึงกระนั้น นาคี 2 ก็ยังคงความแรงไม่หยุด รายได้ทะลุ 300 ล้านไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

มาพูดถึงสิ่งสำคัญที่ทำให้นาคี 2 ประสบความสำเร็จ กลายเป็นภาพยนตร์ไทยที่มาแรงและเป็นที่พูดถึงทั่วบ้านทั่วเมือง ดังระเบิดระเบ้อในตอนนี้

ส่วนหนึ่งเพราะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ “พญานาค” ตำนานความเชื่อของคนไทยที่มีมาช้านาน

รวมไปถึงเข้าถึงกลุ่มคนดูได้ง่ายมากขึ้น โดยเฉพาะการบุกตลาดในพื้นที่ต่างจังหวัด ทำให้เข้าถึงกลุ่มและได้รับการตอบสนองเป็นอย่างดี

อีกทั้งช่วงระยะเวลาการฉายยังตรงกับช่วงวันออกพรรษา วันสำคัญทางพุทธศาสนาวันหนึ่งของคนไทย ที่เป็นประจำทุกปีจะมีปรากฏการณ์ “บั้งไฟพญานาค” ให้คนไทยรอติดตามชม

และขณะเดียวกันในคืนวันออกพรรษาปีนี้ “ญาญ่า อุรัสยา” นางเอกของเรื่อง ยังได้เดินทางมาร่วมรำบวงสรวงบูชาพญานาคที่อำเภอโพนพิสัย

โดยกระแสจากภาพยนตร์นาคี 2 ซึ่งกำลังเข้าฉายอยู่ในขณะนี้ ยังช่วยทำให้คนสนใจอยากมาชมบั้งไฟพญานาคมากขึ้นกว่าเดิม

รวมถึงช่วยกระตุ้นให้จังหวัดเลยซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายทำเป็นที่รู้จักมากขึ้นอีกด้วย!!

แม้ในตอนแรกก่อนภาพยนตร์นาคี 2 จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ จะเกิดกระแสดราม่าวิเคราะห์รายได้ไม่น่าจะทะลุหลักร้อยล้าน

แต่มาจนถึงวันนี้ นาคี 2 ก็ได้พิสูจน์ข้อครหาด้วยรายได้รวมที่ทะลุเป้า 300 ล้านไปอย่างสวยสดงดงาม

และคาดว่ารายได้รวม 500 ล้านก็คงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม

เนื่องจากยังคงอยู่ในกระแส และเป็นที่พูดถึงปากต่อปากจนถึงตอนนี้

นอกจากจะช่วยกู้วิกฤตความซบเซาของตลาดภาพยนตร์ไทยให้กลับมาฟื้นคืนชีพอีกครั้ง

นาคี 2 ก็น่าจะช่วยกู้วิกฤตให้ช่อง 3 ที่ประสบภาวะขาดทุนในไตรมาส 2 กลับมาสดใสได้อีกครั้งเช่นกัน!