ทราย เจริญปุระ : เดียวดาย

ยิ่งเข้าสู่วัยกลางคนมากขึ้นเท่าไหร่

ไอ้อาการติดการอยู่คนเดียวของฉันก็ยิ่งเพิ่มพูนสูงขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบๆ จะลืมไปแล้วว่ามันเริ่มขึ้นมาได้อย่างไร

วันก่อนเกิดกระทู้ถามกันเล่นๆ ในหมู่เพื่อน (ใช่ ฉันก็มีเพื่อน ซึ่งจะมารวมตัวแล้วแยกย้ายกันไปแบบไม่อ้อยอิ่งผูกมัด แต่ก็รู้เรื่องราวในชีวิตกันและกันมากพอ โดยไม่ต้องคุยกันทุกวัน) ว่าเราเตรียมตัวตอนแก่ๆ ไว้อย่างไรกันบ้าง

เงียบ

กริบ

เออ มันต้องเตรียมเหมือนกันนี่เนอะ–ใครคนหนึ่งพูดขึ้นมา

ฉันเลยได้โอกาสสาธยายความพร้อมและข้อมูลประกอบการใช้ชีวิตในวัยสนธยา ว่าฉันเริ่มด้วยการลงทุนในกองทุนต่างๆ หลากหลาย ที่จะให้ผลตอบแทนในช่วงวัยที่ต่างกันไล่ไปเรื่อยๆ โดยตั้งค่าใช้จ่ายรายเดือนไว้บวกอัตราเงินเฟ้อที่น่าจะเป็นในอนาคต ทำประกันสุขภาพโรคทั้งร้ายแรงและไม่ร้ายแรง สะสมเงินสดแบบนอกกองทุนเพื่อเอาไว้ใช้จองบ้านพักคนชราที่เหมาะใจ เตรียมส่งมอบมรดกซึ่งก็คือหนังสือให้กับห้องสมุดต่างจังหวัด อุทิศร่างกายเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์เพื่อให้ไม่ต้องรบกวนใครมาเป็นธุระตอนตาย

นี่กะว่าไม่มีทางมีลูกมีผัวแล้วสินะ –ใครอีกคนถามขึ้น

ก็ต่อให้มีลูกมีผัว ก็เตรียมตัวไว้นั่นล่ะดี ชีวิตที่หวังพึ่งพิงคนอื่นมันแน่นอนเสียที่ไหน เกิดผัวร้างลูกไม่รัก สุดท้ายก็จบที่เดียวดาย หรือต่อให้ลูกผัวรักสุดสวาทขาดใจ ฉวยปุบปับไอ้ที่รักๆ นั้นชิงตายไปก่อนหน้า เราก็จบที่เดียวดายลำพังอยู่ดี

 

ก็อย่างที่ อุทิศ เหมะมูล ได้กล่าวไว้ -การอ่านนั้นบันดาลสองสิ่งพร้อมกัน

หนึ่ง พื้นที่ส่วนตน

สอง ปกป้องเราจากคนไม่อ่าน

ฉันผู้เริ่มชีวิตในวัยเยาว์ด้วยการอ่านเป็นปฐม และตามมาด้วยการดูหนัง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นกิจกรรมอันเดียวดายลำพัง จึงคุ้นกับการนั่งทำอะไรไปเรื่อยๆ อย่างเงียบๆ หนังสือกับหนังไม่ค่อยเรียกร้องอะไรจากฉัน ไม่มีวันทะเลาะกัน ไม่มีวันไม่มีอารมณ์ ไม่มีวันป่วยไข้ จริงๆ ทั้งสองสื่อนี้ต้องทนกับฉันมากกว่าที่ฉันต้องทนกับมันเสียอีก มนุษย์นั้นซับซ้อนและเต็มไปด้วยหมุดหมายที่เขาคาดหวังให้เราจดจำ วันก่อนคุยกันเรื่องอะไรนะ อ้าว ไหนบอกจะไปกินข้าวกัน เฮ้ย พรุ่งนี้วันเกิดเรา วันรับปริญญาแกสั่งดอกไม้ร้านไหน ตกลงงานแต่งนี้ใส่สีเขียวเหมือนกันนะเว้ย

มันเป็นความสนุกโดยธรรมชาติของคนแบบหนึ่งที่จะได้อยู่ท่ามกลางผู้คนที่มีเลือดเนื้อเหมือนกัน โอบกอดและแบ่งปัน ไม่มีวันขาดมือที่เอื้ออาทรหรือไหล่ให้ซับน้ำตา

แต่มันก็เป็นความระทมสำหรับมนุษย์อย่างฉันเช่นกัน ที่แค่พอรู้สึกว่า “ต้อง” ออกไปเพื่ออะไรบางอย่างที่คนเรียกว่าสังคม ฉันจะตัวแข็งเกร็ง คิดถึงแต่การหลบฉากออกมาอย่างเงียบๆ มากกว่าจะคิดถึงรายละเอียดการร่วมแบ่งปัน

ฉันจะสนุกสนานดีเวลาออกไปทำงานและเจอผู้คนขณะทำงาน

แต่ทันทีที่เลิกงาน สิ่งเดียวที่ฉันคิดถึงคือห้องนอนของฉัน ไม่ใช่บ้านด้วยซ้ำ แต่เป็นห้องนอนที่ฉันจำองศาการวางหมอน จำได้ว่าหนังสือเล่มนี้อยู่ตรงนั้น เกินเลยไปจนถึงการดูหนังลำพัง นั่งที่เดิมซ้ำๆ ไม่ว่าจะเป็นโรงไหน ก็คือฉันจะนั่งริมสุด แถวหลังสุดเท่าที่จะหลังได้

เพื่อเป็นการรับประกันว่าด้านหนึ่งของตัวฉันจะไม่ต้องเบียดคลออยู่กับใคร และอยากลุกเข้าลุกออกเมื่อไหร่ก็ทำได้โดยไม่ต้องกระซิบกระซาบขอโทษหรือเหยียบเท้าคนกลับไปกลับมา

 

ฉันมารู้ซึ้งถึงการรักที่จะอยู่คนเดียวก็คือ ในสมัยที่ฉันยังมีคู่รัก ฉันก็ยังแอบไปดูหนังคนเดียว โดยโกหกไปว่าต้องทำงานกิจธุระมากมาย ไม่ว่างจริงๆ ขอโทษน้าาาา เราค่อยไปดูด้วยกันวันหลัง ส่งสติ๊กเกอร์รูปหัวใจไปให้อีก 3 อันสำทับว่าอยากไปกับเธอเหลือเกินแต่ไปไม่ได้

แล้วฉันก็ไปดูหนังคนเดียวแสนสบาย

ไม่ต้องรอกินข้าวก่อน ไม่ต้องเลือกร้าน ไม่ต้องทนเลือกนั่งแถวกลางๆ จะได้ดูชัดๆ ดูเสร็จก็ได้คิดอะไรต่อเงียบๆ คนเดียวโดยไม่ต้องมาถามกันว่าสนุกมั้ย เอ๊ะ ไอ้คนนั้นมันตายหรือเปล่า

แล้วก็ปรากฏว่าไปๆ มาๆ ฉันแอบไปดูหนังคนเดียวบ่อยขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นว่าการต้องไปดูหนังกับใครเป็นภาระ

นั่นล่ะ ฉันถึงรู้สึกตัวว่าเรานี้เกินเยียวยา

ไม่ต้องพูดถึงการกินข้าวคนเดียว ซื้อของคนเดียว ไปทำงานคนเดียว เพราะฉันก็ทำเป็นปกติมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

 

ฉันรู้ดีว่าบางคนอาจจะมองคนอย่างฉันด้วยความสงสัยระคนหมั่นไส้ ว่ามีอะไรเบื้องลึกเบื้องหลังความโดดเดี่ยวที่ทุกคนมองเห็นได้ชัดแบบนี้หรือเปล่า

ฉันรู้ว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม และทั้งๆ ที่ฉันชอบทำอะไรคนเดียว ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะอยากไปอยู่ในถ้ำบนดอย ฉันนี่แหละติดชีวิตแบบเมืองๆ ยิ่งกว่าใคร การได้รู้ว่าเราจะมีอะไรให้กินตลอด มีที่ให้ไปตลอด มีหนังให้ดูตลอด เข้าอินเตอร์เน็ตได้ตลอดแม้จะเลือกทำคนเดียวนั้นต่างจากการเข้าเงียบเป็นฤๅษีอย่างมาก ฉันชอบที่มีคนอยู่รอบๆ และชอบมากๆ ที่เราต่างใช้ชีวิตกันไปโดยไม่ต้องข้องเกี่ยวกัน ก็มีบ้างบางวันที่ไม่ลงตัว

ก็มีบ้างบางวันที่อยากออกไปกับเพื่อน

แต่มนุษย์เราก็เป็นเช่นนี้ ขึ้นอยู่กับใครจะให้น้ำหนักกับอะไรมากกว่ากัน

ฉันว่าฉันทำอะไรๆ ได้ไม่ขาดตกบกพร่องนะ ในหน้าที่ที่พึงกระทำต่อผู้อื่น

และเมื่อถึงเวลาทำอะไรให้กับตัวเอง ฉันก็ดูแลเวลานั้นอย่างดีให้มีคุณภาพเช่นกัน

บ้า ไม่ใช่รักแต่ตัวเองสิ

เค้าเรียกว่า

เอ่อ…

เออ ใช่ ก็ได้ เรียกว่ารักตัวเอง ตามใจตัวเองนั่นแหละ

ใครจะทำไม

“One Life Stand” เดี่ยวดี เดี่ยวร้าย – เขียนโดย คันฉัตร รังษีกาญจน์ส่อง ฉบับพิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2559 โดยสำนักพิมพ์แซลมอน