การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ กี่ชั้น แต่ละชั้น

ว่าแต่หัวใจคนเรามีกี่ชั้น แล้วแต่ละชั้นมันประกอบสร้างมาจากอะไร ฉันถามตัวเองอีกหน ในอีกวัน ขณะละสายตากลับมาจากท้องฟ้า หยุดลงที่รูปวาดบนชั้นไม้เล็กๆ ภายในห้องนอน

ก่อนหน้านั้นอีกวันหนึ่ง…

“พี่ พี่!”

เสียงเรียกดังมาตั้งแต่ประตูรั้ว

ฉันกำลังเพิ่งจะผลัดผ้าจึงอดชะโงกดูไม่ได้…ใบหน้าของหวานลอยเด่นอยู่ในแสงแดดยามเย็น ทาแป้งเสียขาววอก สวมเสื้อสีเหลืองเปลือกกระท้อนสุก

กระวีกระวาดสวมเสื้อตัวใหม่ ยัดเสื้อแขนยาวชุ่มเหงื่อลงในลังกระดาษ แต่ไม่ทันจะพ้นหน้าห้อง หวานก็ปรากฏตัวบนเรือน

“พี่!”

“รู้แล้ว รู้แล้ว” ฉันตอบ เหลียวจะงับประตูห้องนอน แต่หวานกลับชะโงกหน้าส่อง

“เดี๋ยว นั่นอะไรน่ะ”

“อะไร” ฉันเหลียวตาม

แล้วก็ใจหายวาบ มีกรอบรูปตั้งเด่นอยู่บนหิ้งไม้ที่ทำเป็นชั้นหนังสือ มองไกลๆ ยังรู้ว่าไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเพื่อนร่วมงานผมสั้น

ฉันเพิ่งทำมันเสร็จเมื่อคืนนี้เอง

“ไปคุยกันข้างนอกดีกว่า” ฉันรีบปิดประตูฉับ

“อ้าว!” หวานร้อง ทำหน้ามุ่ย แต่ก็เดินตามแต่โดยดี โดยจงใจฉันรีบพาเพื่อนร่วมงานลงทางเรือนครัว จะได้สนใจอย่างอื่นแทน

แต่ไปได้เพียงอีกสองสามก้าว หวานก็หยุดเท้า

“เดี๋ยว”

“อะไร?” ฉันหยุดบ้าง

“จะมาเอาเสื้อเธอไปปะ เดี๋ยวเย็บให้ อยู่ไหนแล้วล่ะตัวนั้น”

หวานทำท่าจะเลี้ยวกลับไปหาห้องนอน แต่ฉันคงให้เข้าไปไม่ได้

อันที่จริง ปกติหวานไม่ใช่คนละลาบละล้วงอะไร แต่ฉันก็รู้ว่า อาจมีอะไรบางอย่างค้างคาใจ…บางอย่างที่หวานกลบเกลื่อนมันไว้ไม่หมด

สายตาคู่นั้นบอกฉันว่า มีความอยากรู้อยากเห็นเช่นเดียวกับคนอื่นๆ

“ยังไม่ได้ซักเลย” ฉันแก้เกี้ยวไป “เดี๋ยวจะเอาไปให้ที่แปลงเพาะ”

“จะเอาไปถึงโน่นทำไม” หวานแย้ง “นี่ก็ตั้งใจมา จะซ่อมผ้าให้เธอนั่นแหละ”

 

ฉันซาบซึ้งในน้ำใจของหวาน และรู้ว่า เธอคือหนึ่งในคนที่มากด้วยความจริงใจ มีความบังเอิญอีกอย่างคือ พี่สาวคนโตของเธอเป็นเมียกับญาติทางพ่ออีกคนหนึ่ง จึงมีความเกี่ยวพันกันอีกชั้น นับวันก็ไปมาหาสู่กันสนิทสนมมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ถึงอย่างไร หวานก็ไม่เหมือน…คนที่ร่วมสะลี

ไม่มีความรู้สึกอยากจะเชื้อเชิญเข้าถึงห้องใน

“อยู่ตรงไหน เดี๋ยวเราไปเอาเองก็ได้” หวานทำท่าจะวกกลับ

“ไม่ต้องหรอก” ฉันรีบขวางไว้ “หรือเธอลงไปก่อน เดี๋ยวเอาตามลงไปให้”

“เธอซ่อนอะไรไว้ในห้องเหรอ”

แทนจะทำตาม หวานกลับจ้องหน้าฉันแล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย

“นั่นแน่” หวานทำเสียงอย่างในหนังขายยา “ต้องมีความลับอะไรแน่ๆ”

“ไม่มี!”

ถ้าจะมีใครสักคนในโลกที่พูดยาก ปราศจากความเข้าใจ หากก็ไม่มีพิษมีภัยจนนึกจะโกรธก็โกรธไม่ลง หนำซ้ำบางครั้งกลับทำให้รู้สึกแย่กับตัวเองที่แอบไม่พอใจ ก็มีเพียงอ้ายเด็กกะออมและหวานคนนี้นี่เอง

“ไม่ได้ซ่อนอะไร” ฉันลดเสียงอ่อนลง “อย่าถามมากได้มั้ย”

“ทำไมล่ะ” และมีแต่หวานที่ยังลอยหน้าถามต่อ

“รำคาญ!” ฉันลงเสียงหนัก ซึ่งมีเสียงหัวเราะตามมาทันควัน

“ก็ได้ ก็ได้ ซ่อนรูปแฟนไว้เสียละมั้ง…ฮึ ไม่อยากจะเซด”

 

ฉันรู้ว่าหวานคงไม่เข้าใจหรอก คำว่า “เซด” มันหมายถึงอะไร ฉันเองไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่ทุกคนในแปลงเพาะก็มักจะพูดมันบ่อยๆ เวลาที่เรารู้ทันใครสักคนหนึ่ง แต่นั่นเอง ฉันไม่คิดว่าหวานจะรู้ทันฉัน ในเวลาเช่นนั้น ฉันไม่คิดเลยว่า ใครๆ จะจับสังเกตได้ในเรื่องราวของตัวเอง

“ลงไปก่อน เดี๋ยวเอาไปให้” พูดแล้วรีบรุนหลังให้ลงไป

กลับเข้าในห้องนอนของตัวเองอีกครั้ง สิ่งแรกที่ทำคือรีบหยิบกรอบรูปบนชั้นคว่ำหน้าลง แต่…ยังคงไม่แน่ใจ ฉันไม่ควรจะทำมันขึ้นมาเสียด้วยซ้ำ ดูสิ แค่ตอนนี้ มันก็กลายเป็นประจักษ์พยานที่ฉันปฏิเสธได้ไม่เต็มปาก

ฉันใช้เวลาเกือบค่อนคืน ในการตัดกระดาษลังแข็งๆ เป็นกรอบสี่เหลี่ยม กรีดด้วยมีดพับ นำกระดาษสองแผ่นประกบเข้าหากัน ทามันด้วยกาวเคี่ยวจากแป้งมัน ตามจริงฉันพยายามจะเสาะหาลูกบะหมัน แต่ต้นของมันไม่อยู่เสียแล้ว

ฉันวาดรูปของจอมฝัน บนกระดาษวาดเขียนเนื้อขาวๆ แรเงาด้วยดินสอสี มันคงไม่เหมือนภาพถ่ายที่อัดมาในกระดาษงามๆ แต่ฉันก็ตั้งใจวาดตามที่จดจำไว้ และไม่น่าเชื่อเลยว่าฉันจะถ่ายทอดมันออกมาได้

ใบหน้าที่มีตากลมกระจ่าง ปากบนหนากว่าปากล่าง ผมซอยระใบหูเล็กๆ และที่ฉันแน่ใจว่า ต่อให้ภาพใบหน้าไม่เหมือน ก็มีสิ่งที่จอมฝันจะต้องรู้ได้ว่าใช่ตัวเอง

จอมฝันมักจะใส่สร้อยคอทองอยู่เส้นหนึ่ง มีล็อกเก็ตรูปใบโพธิ์ ข้างในใส่รูปหลวงปู่แหวน แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่ไฝเม็ดเล็กๆ ตรงข้างลำคอ มักจะผลุบโผล่อยู่กับแนวเส้นสายสร้อย เป็นจุดสีดำกลมสักครึ่งหัวเข็มหมุด ซึ่งต้องเข้าใกล้จริงๆ จึงจะเห็นมัน

และฉันก็เห็น วันที่จอมฝันเข้ามายืนขวางหน้าไว้ และเห็นอีก วันไหนที่หล่อนเฉียดกรายผ่านหน้า พลางระมือผ่านตัวฉันเหมือนไม่ได้ตั้งใจ

แปลกไหม ฉันมักจะเห็นจอมฝันอยู่กับใครต่อใคร รวมถึงอยู่กับคนที่ฉันนอนด้วยบ่อยๆ แต่นับวันไป คนที่ทำให้หัวใจฉันกลับมาเต้นแรงได้อีก ครั้งแล้วครั้งเล่า กลับยังเป็นเจ้าหล่อน

 

หัวใจคนเรามีกี่ชั้น แล้วแต่ละชั้นมันประกอบสร้างมาจากอะไร

ฉันถามตัวเองเหมือนที่มีคำถามอีกมากมายหลายเรื่อง ขณะจ้องดูภาพวาดในมือ

ฉันไม่นึกถึงอะไรอื่นเลย ในตอนที่วาดภาพจอมฝัน มีความสงบนิ่งในใจ คิดแค่ว่า อยากจะวาดให้สวยที่สุด และเหมือนที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่างที่บอก ไม่น่าเชื่อว่าฉันจะวาดมันได้จริงๆ

ผู้หญิงในภาพวาด ที่ลงสีเบาๆ ไว้บนกระดาษขาว อุตส่าห์ให้พ่อไปขอมาจากหลวงน้าเจ้าอาวาส ฉันถนอมไม่ให้กระดาษยับเมื่อสอดเข้าในกรอบที่ทำไว้ อันที่จริงฉันเสียกระดาษลังไปหลายแผ่นกว่าจะสำเร็จอย่างพอใจ

ด้วยกระดาษลังอีกเช่นกัน ฉันประดิษฐ์ให้มันมีขาตั้งวางมั่น เป็นความภาคภูมิใจจนอดจะนั่งดูนอนดูไม่ได้ จนง่วงจัดจึงค่อยปิด “ซะวิด” ไฟ ซุกตัวเข้าในผ้าห่ม หลับตา

อีกไม่นาน ฉันรู้มาว่าจะเป็นวันเกิดจอมฝัน หลายคนเล่าว่าหล่อนมักจะจัดงานกินเลี้ยงใหญ่โต ปีก่อนๆ รุ่นพี่รุ่นน้องต่างได้ไปร่วมงาน สมกับเป็นคนบ้านใหญ่หรูหรา แม้จะมาทำงานตากแดดตากดินอย่างคนอื่น หล่อนก็ไม่เหมือนคนอื่น

ฉันไม่แน่ใจหรอกว่าจอมฝันจะชวนฉันไหม แต่ถึงไม่ได้ไป ฉันก็ตั้งใจว่าจะฝากของขวัญไปให้เธอ

 

“ทําไมหายไปนานแท้” หวานต่อว่าทันทีที่เห็นหน้า เมื่อลงไปถึงกะล่างใต้ถุน

แต่ระหว่างนั้น ก็เห็นสีหน้าหวานคล้ายมีอะไรแปลกๆ อยู่ไม่น้อย มาเอะใจ เมื่อเห็นพี่ตรียืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ข้างๆ

“ไปไหนมารึเรา”

เกือบจะขมวดคิ้วไม่ได้ คนอยู่บ้านเดียวกัน เห็นอยู่ว่าเพิ่งลงบันไดมา

“ไม่ได้ไปไหนนี่” ฉันตอบออกไป

อันที่จริง พี่ตรีนิสัยดีอยู่ไม่น้อย ถ้าไม่นับที่มักเป็นไม้เบื่อไม้เมากับแม่ หรือถ้าพูดให้ถูกคือ เหมือนแม่จะเป็นฝ่ายขวางหูขวางตา “ลูกเลี้ยง” มากกว่า แต่หลายเวลา พี่ตรีก็รู้จังหวะ

ยามใดแม่โกรธ เริ่มมีสีหน้าขุ่นข้องขัดเคือง พี่ตรีจะเลี่ยงลงเรือนไปเสีย

“แล้วจะพากันไปไหน” พี่ตรียังไม่หยุดถามอีก “ค่ำแลงแล้วนะ”

หวานคว้าเสื้อจากมือฉันทันที

“มา จะเอาไปเย็บให้คืนนี้ แล้วนี่เดี๋ยวเธอจะทำอะไรอีก”

“ไม่ได้ทำอะไร” ฉันตอบ “สักพักแม่คงตั้งโตก”

“อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนสิ” พี่ตรีแทรกขึ้น

หวานมองหน้าฉัน หนนี้ นัยน์ตาคู่นั้นคล้ายต้องการจะบอกบางอย่าง

“บ้านเธอทำอะไรกิน” ฉันถาม

“ยังไม่รู้เหมือนกัน”

“งั้นเดี๋ยวฉันไปแอ่วบ้านเธอก่อนก็ได้”

ปกติแล้วฉันไม่ชอบไปบ้านคนอื่น และนอกจากแก้มหอมกับชื่นใจ ไม่เคยไปกินข้าวบ้านใครนอกวงญาติ แต่วันนี้ ฉันคิดว่าอาจจะมีบางเรื่องต้องพูดกัน

“ไม่อยู่กินข้าวด้วยกันหน่อยรึ” พี่ตรีหน้าม่อยลง

ฉันแน่ใจในตอนนั้นว่าที่พี่ตรีแสดงออกมา คือสิ่งที่หวานอึดอัดใจ

 

ไม่ผิดจากที่คิดไว้ เมื่อห่างบ้านออกมา จนแน่ใจว่าจะไม่มีใครได้ยิน หวานก็กระซิบกระซาบขึ้น

“ฉันไม่ชอบอ้ายของเธอเลย”

ข้อดีอีกอย่างของหวานคือเป็นคนมีมารยาท แต่ก็พูดตรงเสมอ

“ทำไม?” ฉันดึงเสื้อตัวเองออกจากมือหวาน มันแค่มีรอยขาดนิดเดียว แต่หวานก็จริงจังกับมันมากมาย

“บอกไม่ถูก…” หวานสั่นหัว “ฉันไม่อยากให้เขามาอู้ด้วยมากเท่าไหร่”

“พี่ตรีคงเอ็นดูเธอแหละ” ฉันลองตอบไป “เห็นเราสนิทกัน”

“ไม่ใช่” หวานส่ายหัวอีก “แต่ไม่รู้นะ…เราอาจจะคิดไปเองก็ได้”

ฉันค่อยนึกออกว่า ทุกครั้งที่หวานมาบ้าน หากมีพี่ตรี เด็กสาวจะมีกิริยาแปลกๆ อยู่หลายครั้ง

“…อ้ายเขาฟู่เธอหรือ”

หวานเงียบ และความเงียบก็คือคำตอบ

“เธอไม่ชอบเขา?”

หวานส่ายหัวอีก

“ไม่อยากลองดูหน่อยเหรอ”

เพื่อนร่วมงานแปลงเพาะหยุดเดิน และเหลียวหน้ามาดูฉัน ในแสงโพล้เพล้ของตะวันยามค่ำ หน่วยตาที่ไม่กลมไม่รี ไม่มีประกายแวววาวอย่างใคร หรือมันอาจสะท้อนสีเหลืองของเสื้อที่สวมอยู่เข้าไป จึงทำให้ฉันนึกถึงตอเฟืองที่หักฟ่ามกลางดินหน้าหนาว ในไอเย็นของน้ำค้าง มันยังแห้งแล้งแม้ในความเปียกฉ่ำ

ไม่มีคำพูดออกจากปากของเพื่อน แต่เหมือนกัน ฉันก็เงียบใบ้ไปในตอนนั้น

“…หัวใจคนเรามีกี่ชั้น แต่ละชั้นมันประกอบสร้างมาจากอะไร” คงต้องจดลงอีก ในสมุดของฉัน