วัชระ แวววุฒินันท์ : หนึ่งวันกับการถวายความอาลัย

วัชระ แวววุฒินันท์

เมื่อวันที่ 23 ตุลาคมที่ผ่านมา ผมตั้งใจไว้อยู่แล้วว่าจะต้องไปร่วมถวายความอาลัยแด่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ในพระบรมมหาราชวัง

หะแรกตั้งใจจะไปตั้งแต่วันที่ 22 แต่เผอิญมีการร่วมร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีครั้งประวัติศาสตร์ คงไม่สะดวกในการไปในวันนั้นแน่

ผมเดินทางไปตามข้อมูลของทางการที่ช่องทีวีต่างๆ พากันให้ไว้ โดยเลือกนั่งรถไฟใต้ดินไปลงสุดสายที่สถานีหัวลำโพง แล้วก็นั่งรถ shuttle bus ที่จริงๆ ก็คือรถเมล์ฟรีจากภาษีประชาชนนั่นแหละ จากหัวลำโพงตรงสู่ท้องสนามหลวง

แต่เผอิญวันนั้นมีการปิดถนนหลายสาย ที่ว่าจะพุ่งตรงไปยังเป้าหมาย เลยต้องกลายเป็นอ้อม และไปไม่ถึงซะด้วย ไปแหมะไว้ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ไม่เป็นไร จอดแค่นี้ก็เดินต่อ มีพี่น้องคนไทยและต่างชาติเดินมุ่งหน้าเป็นเพื่อนไปยังทิศเดียวกัน

ไปถึงก็งงว่าจะไปรับบัตรคิวที่ไหน ถามเจ้าหน้าที่ถึง 3 ทอดถึงได้ไปถูกคือสนามหลวงฝั่งวัดมหาธาตุฯ ซึ่งก็มีคนรับบัตรคิวกันเนืองแน่นอยู่แล้ว

ผมก็รับกับเขา เหลือบดูนาฬิกาคือประมาณ 11.30 น. ตอนนั้นคิวผมเป็นเลข 2 พันกว่า จากนั้นก็ไปต่อคิวที่วนไปวนมา โดยมีแถวเรียงกันเป็น 4 แถวเขยิบไปข้างหน้าสลับหยุดนิ่ง เหมือนการรายงานจราจรยังไงยังงั้น ตอนอยู่ในแถวดูไม่ออกหรอกว่า แถวมันจะพาดพันวกวนไปยังไงจึงไปถึงทางเข้าประตูพระบรมมหาราชวังได้

เมื่อเดินจนตัวไปจ่อรอนั่นแหละถึงได้รู้ว่า อ๋อ มันพันกันยิ่งกว่าเขาวงกตอย่างนี้นี่เอง

 

ระหว่างอยู่ในแถวท่ามกลางแดดร้อนระอุ ทุกคนหาทางช่วยตัวเองโดยการใส่หมวกบ้าง กางร่มบ้าง โดยมีเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครคอยเดินให้บริการต่างๆ เหมือนที่เราเห็นในข่าวทีวี แต่นี่มาได้เห็นของจริงก็ยิ่งชื่นชมกับอาสาสมัครเหล่านี้

มีทั้งน้ำจ้ะน้ำ…แอมโมเนียไหม…พัดจ้ะ แจกฟรี…ขยะครับ ใครมีขยะทิ้งได้ พูดถึงบริการทิ้งขยะแล้วมีมาตลอดเวลาจริงๆ เราจึงได้เห็นพื้นหญ้าของสนามหลวงนั้นหาขยะแทบไม่เห็น

ของที่แจกนอกนั้นก็มีทั้ง ยาดม ยาหอม ยาพาราก็ยังมี รวมทั้งลูกอม ผ้าเย็น ขนมต่างๆ ตอนที่กำลังรู้สึกหิว ก็ได้ขนมกล้วยมา 2 ชิ้น เป็นขนมกล้วยที่อร่อยที่สุดตั้งแต่เคยทานมา

ส่วนบริการอื่นๆ ที่ไม่เห็นในข่าวมาก่อน คือการบริการฉีดฝอยละอองน้ำคลายร้อน มีทั้งแบบเดินพ่นกระบอกแบบฉีดพรมผ้าเวลารีด กับแบบจริงจังหน่อยคือมีเป็นท่อน้ำและสายพ่นแบบพ่นยาฆ่าแมลง สร้างความชุ่มชื้นและเรียกรอยยิ้มให้คนในแถวได้อย่างดี

และที่เห็นแล้วน่ารัก คือบริการพัด พอแถวมันหยุดอยู่ตรงเต๊นท์หนึ่งซึ่งมีเจ้าหน้าที่ยืนอยู่ แล้วคงจะเห็นใจในความร้อนของอากาศ จึงหาแผ่นกระดาษกล่องมาโบกพัดให้คลายร้อน

พอมีคนถามว่า แล้วหนูไม่ร้อนเหรอมาพัดให้เนี่ย เขาก็ตอบน่ารักๆ ว่า “ไม่เป็นไรพวกผมอยู่ในเต๊นท์ พวกพี่สิอยู่กลางแดด”

น่ารักจริงๆ น้ำใจคนไทย

 

ผมสังเกตดูคนที่อยู่ในแถวมีหมดทุกแบบเลยครับ มีทั้งคนไทยและชาวต่างประเทศ มีทั้งเด็กที่อายุไม่กี่ขวบไปจนถึงคนแก่วัยเฉียด 80 มีทั้งไทยพุทธและไทยมุสลิม มาทั้งเดี่ยว และเป็นครอบครัว กลุ่มเพื่อนฝูง

ระหว่าง 2 ชั่วโมงกว่าๆ ที่อยู่ในแถว ผมไม่เห็นมีใครบ่นสักคำ ไม่มีใครอารมณ์เสียหรือท้อถอย มีแต่ให้กำลังใจกัน เผลอเหยียบเท้ากันก็ขอโทษ ใครจำเป็นต้องเดินตัดแถวก็ขอกันอย่างสุภาพ และก็หลีกทางให้อย่างมีน้ำใจ เวลามีคนเอาของมาแจกก็ไม่ได้กรูกันไปเอาจนเสียสติ แต่รอและหยิบอย่างมีวัฒนธรรมกว่าแต่ก่อนเยอะ ของหมดตรงหน้า ก็ไม่เป็นไร เดินต่อไปเงียบๆ

คนแถวข้างๆ เล่าว่า ตนเองมาตั้งแต่เมื่อวาน ที่เขามีร้องเพลงสรรเสริญฯ กัน อยู่ร้องทั้ง 2 รอบเลย ทั้งบ่ายและค่ำ นึกว่าจะไม่ไหว แต่พอวันนี้ก็มาอีก ใจมันบอกว่าต้องมา

เชื่อว่าในใจของคนที่ต่อแถวอยู่ในตอนนี้ก็คงคิดคล้ายๆ กัน คิดว่าครั้งหนึ่งนั้น “ต้องมา” มาแสดงความอาลัยต่อบุคคลที่เราเคารพรักอย่างยิ่ง

ส่วนบริการสองข้างทางระหว่างที่แถวเขยิบไปก็น่ารักไม่น้อย มีทั้งรับตัดผมฟรี รับนวดฟรี รับชาร์จแบตมือถือฟรี รับวาดรูปฟรี มีรับถ่ายรูปฟรีด้วย เอากับเขาสิ

 

เจ้าหน้าที่ที่ประจำจุดต่างๆ ก็ทำหน้าที่กันอย่างเต็มที่ ขมีขมันยิ้มแย้มแจ่มใสและมีน้ำใจ จริงๆ พวกเขาเหน็ดเหนื่อยกว่าผมและคนที่เดินอยู่ในแถวอีกนะ เพราะอยู่มาตั้งแต่เช้ายันค่ำทุกวัน ต้องเดินตะโกนบอกข้อมูล หรือเรียกให้รับบริการ ได้คุยกับเจ้าหน้าที่บางคนเขาบอกว่า นอนไม่ค่อยพอ แต่ใจสู้ครับ

และที่ชอบใจเป็นพิเศษคือ เห็นเด็กวัยรุ่นมาเป็นจิตอาสาทำหน้าที่กันหลากหลาย เห็นแล้วชื่นใจว่า เด็กรุ่นใหม่ที่คิดดี ทำดี มีใจให้กับส่วนรวมยังมีให้เห็นไม่น้อย

และในที่สุดก็ได้เข้าไปในพระบรมมหาราชวัง และได้ถวายความอาลัยต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ที่ว่าเหนื่อยล้า ร้อนระอุมาตลอดเกือบ 3 ชั่วโมงก็หายไปสิ้น ทั้งที่รวมเวลาที่นั่งทรุดกับพื้น ตั้งจิตไว้อาลัย และกราบแล้วลุกขึ้น ไปลงนามถวายคำอาลัยไม่น่าเกิน 10 นาที แต่ก็เป็น 10 นาทีที่คุ้มค่ามาก

อย่างน้อยก็เห็นว่าทุกคนมีความตั้งใจแน่วแน่ มีความอดทน นี่เองที่เรียกว่า “ความเพียร” ที่พระองค์เคยบอกไว้ในชาดกพระมหาชนกเราเดินไปเรื่อยๆ ไม่รู้หรอกว่าต้องเดินอีกไกลแค่ไหน ปลายแถวอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ เหมือนพระมหาชนกที่ตั้งใจว่ายน้ำแม้ไม่เห็นฝั่ง

แต่เรามีจุดหมายคือ การได้กราบต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์นั่นก็เพียงพอแล้วต่อการต่อแถวในวันนั้น

หลังจากนั้นก็ได้มาเดินดูบรรยากาศรอบๆ ได้ไหว้สักการะศาลหลักเมือง ได้ดูชีวิตที่อยู่รายรอบสนามหลวง ที่ทุกคนเต็มใจทำหน้าที่จริงๆ แม้แต่คนเก็บขยะของ กทม. ที่ยิ้มแย้มและคว้าเศษขยะบนพื้นลงในถุงดำอย่างไม่ยอมให้บริเวณงานอันสำคัญนี้มีขยะสักชิ้นได้

ก่อนจะลาจากมา เห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ยืนควบคุม 2 ข้างถนนทำหน้าที่เป็นตากล้องจำเป็นให้ประชาชนที่เดินไปมาแล้วอดอมยิ้มไม่ได้

ในขณะที่เจ้าหน้าที่อาสาข้างๆ ก็ตะโกนถาม

“พี่ตำรวจได้น้ำกับผ้าเย็นรึยังคะ มารับได้นะคะ”

เออหนอ เพราะ “พ่อ” พระองค์เดียวแท้ๆ ที่ทำให้เราได้เห็นความงดงามเช่นนี้ที่ทำให้หัวใจอันเหี่ยวแห้งยามนี้ ได้กลับฟูฟ่องขึ้นมาได้