นงนุช สิงหเดชะ / เป็นลูก ‘ทักษิณ’ ได้รับอะไรแรงกว่าคนอื่น??

นงนุช สิงหเดชะ

 

เป็นลูก ‘ทักษิณ’

ได้รับอะไรแรงกว่าคนอื่น??

 

คนในตระกูลชินวัตร กลับมาเป็นไฮไลต์การเมืองอีกครั้ง ภายหลังจากอัยการมีความเห็นสั่งฟ้องนายพานทองแท้ ชินวัตร หรือโอ๊ค บุตรชายของคุณทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในข้อหาสมคบฟอกเงินสินเชื่อที่ธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้ให้กับกลุ่มกฤษดามหานคร

ปฏิกิริยาที่ตามมาจากคนในตระกูลชินวัตรก็คือการตัดพ้อ ในทำนองว่าครอบครัวพวกตนถูกรังแก ไม่ได้รับความยุติธรรม

พินทองทา หรือเอม น้องสาวของโอ๊คโพสต์ลงโซเชียลมีเดียว่า

“ครอบครัวเราผ่านอะไรมาเยอะ ถูกการเมืองเล่นมาเยอะ แต่ก็คิดเสมอว่าเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ จนกระทั่งมาถึงเรื่องของพี่โอ๊ค…มาถึงรุ่นพวกเราแล้วเหรอเนี่ย! แต่ในเมื่อจะทำกันขนาดนี้…เราก็คงจะไม่นั่งนิ่งเฉยให้ถูกรังแก…ถ้าสู้กันตามเนื้อกฎหมายยังไงเราก็ชนะ!! แต่เรื่องของธงทางการเมือง ความแค้นส่วนตัวของคนบางคน อันนี้อยู่เหนือการควบคุมจริงๆ”

ส่วนอุ๊งอิ๊ง หรือแพทองธาร น้องสาวอีกคน โพสต์ว่า

“ลูกทักษิณได้รับอะไรแรงกว่าคนอื่นเสมอ แต่รู้มั้ยเลือดเนื้อของทักษิณก็วิ่งอยู่ในตัวเราทั้ง 3 คนนั่นแหละ”

 

คดีของพานทองแท้ เป็นส่วนหนึ่งของคดีมหากาพย์ที่ธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้ให้กับกลุ่มกฤษดามหานคร ของนายวิชัย กฤษดาธานนท์ วงเงินเกือบ 1 หมื่นล้านบาท โดยมิชอบ ช่วงที่คุณทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี

ส่งผลให้มีการฟ้องคุณทักษิณ (จำเลยที่ 1) และผู้บริหารธนาคารกรุงไทย ตลอดจนเอกชนที่ร่วมทำผิด รวมทั้งสิ้น 27 คน

ตอนหนึ่งของคำพิพากษาศาลในครั้งนั้นระบุว่า

“คดีนี้อัยการสูงสุด ฟ้องว่าจำเลยทั้ง 27 คนมีการแบ่งหน้าที่กันทำ โดย พ.ต.ท.ทักษิณสั่งการให้ผู้บริหารธนาคารกรุงไทยอนุมัติสินเชื่อตามที่เอกชนเสนอ โดยมีการเบียดบังยักยอกเงินให้แก่เอกชนโดยทุจริต ละเว้นไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบ เมื่อเอกชนได้รับสินเชื่อแล้ว ไม่นำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ ทำให้ประชาชน ผู้ถือหุ้น และผู้ฝากเงินของธนาคารกรุงไทยได้รับความเสียหาย ขอให้ลงโทษจำเลยทั้ง 27 คน และให้ร่วมกันชดใช้เงิน 10,054.46 ล้านบาท แก่ธนาคารกรุงไทย”

ในที่สุดศาลมีคำสั่งลงโทษจำคุกนายวิโรจน์ นวลแข กรรมการผู้จัดการกรุงไทย และ ร.ท.สุชาย เชาว์วิศิษฐ์ ประธานบอร์ดบริหารกรุงไทย คนละ 18 ปี ไปเมื่อปี 2558 ส่วนคุณทักษิณนั้นหลบหนี ขณะที่คนอื่นๆ ได้รับโทษลดหลั่นกันไป ส่วนจำเลยที่ 6-7 ศาลยกฟ้อง

ขณะที่กรณีของนายพานทองแท้ ซึ่งถูกอัยการสั่งฟ้องไปเมื่อวันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา เป็นข้อหาฟอกเงิน เนื่องจากรับโอนเช็ค 10 ล้านบาท จากนายวิชัย กฤษดาธานนท์ โดยนายพานทองแท้อ้างว่าเป็นเงินร่วมลงทุนกับนายรัชฎา บุตรชายของนายวิชัยเพื่อนำเข้ารถยนต์หรูจากต่างประเทศ แต่อัยการเห็นว่าเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นและมีพิรุธหลายอย่าง

เป็นที่เข้าใจได้สำหรับลูกๆ คุณทักษิณที่จะตัดพ้อต่อว่า เพราะสำหรับคนเป็นลูก ก็ย่อมเห็นว่าพ่อแม่ตัวเองถูกต้องเสมอ เช่นเดียวกับที่คนเป็นพ่อแม่ มักจะเข้าข้างลูก เห็นว่าลูกถูกต้องเสมอเมื่อเกิดเหตุขึ้นมา เพราะความผูกพันกันที่มาก มักทำให้อารมณ์และความรู้สึกอยู่เหนือข้อเท็จจริง

แต่ต้องไม่ลืมอีกเช่นกันว่า คนเป็นลูกก็ไม่ได้รู้ทุกอย่างที่พ่อแม่ทำ ส่วนพ่อแม่ก็ไม่รู้ทุกอย่างที่ลูกทำเมื่ออยู่นอกบ้าน

 

จะสังเกตเห็นได้ว่ามุมมองและประเด็นที่ลูกคุณทักษิณนำมาตัดพ้อนั้น ก็มักจะเป็นไปในทิศทางเดียวกับคุณทักษิณและคนรอบกายคุณทักษิณ นั่นคือเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามใส่ร้ายกลั่นแกล้ง เพราะคุณทักษิณได้รับความนิยมสูง ฝ่ายตรงข้ามจึงอิจฉา ไม่พอใจ

การที่ลูกๆ คุณทักษิณมีมุมมองเช่นนั้น ก็น่าจะเพราะได้รับการถ่ายทอดบอกเล่าจากคุณทักษิณ ในทำนองว่าตัวเขาถูกผู้มีบารมีอิจฉา ซึ่งคำอ้างประเภทนี้จะทำให้คุณทักษิณดูเป็นคนดีขึ้นมาทันที

คงไม่มีพ่อคนไหนที่จะยอมรับกับลูกว่าตนเองทำผิด เพราะหากยอมรับก็จะทำให้ลูกผิดหวังและเสียความรู้สึกได้ ดังนั้นสิ่งที่ต้องยืนหยัดและพูดซ้ำๆ คือถูกฝ่ายตรงข้ามกลั่นแกล้งเพราะว่าพ่อบริหารประเทศเก่งและรวยมากจนมีคนอิจฉา

ขณะเดียวกัน ผู้เป็นลูกก็ไม่อาจจะรู้รายละเอียดในสิ่งที่พ่อทำขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อย่างน้อยเรื่องกฎหมาย กฎระเบียบ ข้อห้าม ข้อยกเว้น ข้อควรปฏิบัติในฐานะนายกรัฐมนตรี ลูกๆ คุณทักษิณก็คงไม่ได้รู้ดีเพราะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ

ดังนั้น ก็มีแนวโน้มจะเชื่อตามที่พ่อหรือคนสนับสนุนพ่อพูด

 

หากจะตัดคำกล่าวอ้างเรื่องถูกอิจฉา ถูกกลั่นแกล้งหรือตัดอารมณ์ผูกพันออกไป แล้วใช้ข้อเท็จจริงล้วนๆ มาพิจารณา ก็จะเห็นว่าขณะดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศนั้น คุณทักษิณไม่ระมัดระวังการใช้อำนาจ เพราะมั่นใจในคะแนนเสียงของตัวเอง จนถึงจุดที่มั่นใจเกินไป กระทั่งขาดการเหนี่ยวรั้งตัวเองในการใช้อำนาจเพื่อเอื้อธุรกิจตัวเองและพวกพ้อง

คดีปล่อยกู้กรุงไทย เป็นตัวอย่างหนึ่งของการใช้อำนาจอย่างไม่สมควรในลักษณะเอื้อประโยชน์ให้กับคนใกล้ชิด

ซึ่งยังมีข้อโจษจันกันอีกว่าสมัยเป็นนายกฯ นั้น บรรดาข้าราชการประจำและข้าราชการการเมืองกลัวคุณทักษิณมาก (ยังไม่ต้องพูดถึงนักการเมืองในพรรคคุณทักษิณ)

ไม่กล้าขัดคำสั่ง เพราะถ้าขัดก็หมายถึงไม่เจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน เนื่องจากดูท่าทางแล้วคุณทักษิณคงครองอำนาจหลายสมัย

ความหวาดกลัว เป็นผลให้ข้าราชการระดับสูงหลายคนที่ยอมทำตามคำสั่งคุณทักษิณต้องติดคุก แต่ก็มีบางคนที่ยอมเสี่ยงติดคุกเพื่อแลกกับการได้ดิบได้ดีในตำแหน่งหน้าที่

คดีกรุงไทยยังไกลตัวไป ลองมาดูคดีแก้ไขกฎหมายประกอบกิจการโทรคมนาคม ด้วยการแปลงค่าสัมปทานโทรศัพท์มือถือและดาวเทียมเป็นภาษีสรรพสามิต ซึ่งไม่ว่าจะอ้างเหตุผลอย่างไร ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะคุณทักษิณมีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรง หากจะมีการแก้ไขกฎหมายเรื่องนี้ ควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลอื่น

การที่ลูกชายของคุณทักษิณต้องมาโดนคดีกรุงไทย อันที่จริงแล้วต้นเหตุก็มาจากคุณทักษิณ หรือเกิดจากผู้ใหญ่

บางทีการอ้างว่าเพราะเป็นลูกทักษิณจึงได้รับอะไรแรงกว่าคนอื่นนั้น ก็ดูจะเป็นการยกเหตุผลแบบด้านเดียว เพราะสาระสำคัญอยู่ที่ว่าทักษิณ “ทำอะไร” มากกว่า

และอย่าคิดเข้าข้างตัวเองเกินไปว่าเป็นเพราะพ่อถูกอิจฉา ถูกกลั่นแกล้ง แล้วจงใจมองข้าม “เนื้อแท้” การกระทำของพ่อ

 

ลูกๆ คุณทักษิณบอกว่าไม่ได้รับความยุติธรรม ถูกรังแก แต่ถ้ามองจากมุมคนอื่น เขาก็อาจคิดว่าคุณทักษิณนี่ช่างมีอภิสิทธิ์มากเหลือเกิน ขนาดถูกศาลพิพากษาแล้วยังไม่ต้องรับโทษ ยังสุขสบาย นั่งเครื่องบินส่วนตัวร่อนไปมาทั่วโลก เย้ยกฎหมายและคนไทยไปวันๆ

ส่วนลูกๆ ก็บินไปหาพ่อเป็นว่าเล่น ราวกับว่าค่าเครื่องบินถูกยังกะค่ารถเมล์ 8-9 บาท แล้วก็ช้อปปิ้งชิลๆ

ขนาดถูกยึดเงินไป 4.6 หมื่นล้านบาท คุณทักษิณยังมีเงินเหลืออีกนับหมื่นล้านบาท ถามว่าเงินจำนวนนี้คุณทักษิณเอามาจากไหน แสดงว่าซุกซ่อนไว้นอกประเทศตั้งแต่ตอนเป็นนายกรัฐมนตรี โดยไม่แจ้งต่อ ป.ป.ช. หรือไม่

ทรัพย์สินนอกประเทศที่โผล่ออกมาดังกล่าว มีผู้ขุดคุ้ยว่าคุณทักษิณทำมาหากินผ่านนอมินีในหลายรูปแบบ ซึ่งก็ชัดเจนว่าคุณทักษิณซุกซ่อนทรัพย์สิน ขาดความโปร่งใสซื่อสัตย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้นำต้องมีอย่างมาก

จะตรงประเด็นกว่าไหม หากจะพูดว่าเป็นลูกทักษิณได้รับอะไรดีๆ สุขสบายร่ำรวย หรูหรากว่าคนอื่น