ฟ้า พูลวรลักษณ์ : รัฐที่มีโทษประหาร ไม่ได้หมายความว่าอาชญากรรมจะหมดไป ?

ฟ้า พูลวรลักษณ์

หนังสือเรียนสำหรับเด็ก เล่มใหม่ (๑๑)

ฉันอยากพูดถึงโทษประหารชีวิตอีกครั้ง

ฉันยังขอยืนยันว่า โทษประหารไม่ใช่ประเด็น

แต่การที่นักสิทธิมนุษยชนออกมาประท้วงว่า โทษประหารเป็นความโหดร้าย ป่าเถื่อน ทำให้สังคมไม่ปลอดภัย สิ่งนี้กระทบบางอย่างในใจฉัน

ฉันรู้สึกสิ่งนี้เป็นความหน้าไหว้หลังหลอก

แต่ที่ซึ้งยิ่งกว่า คือพวกเขาทำไปโดยไม่รู้สึกตัว นี่ไม่ใช่เป็นการจงใจหน้าไหว้หลังหลอก หากแต่มันเกิดจากความไม่ชัดเจนว่า เรากำลังต่อสู้กับอะไร

เรากำลังปกป้องอะไร

รัฐที่มีโทษประหาร กับรัฐที่ไม่มีโทษประหาร ต่างกันตรงไหน

สำหรับฉัน มีความต่างในทางปรัชญา

ยกตัวอย่างเช่น มือปืนรับจ้าง พวกเขาฆ่าคนตาย โดยไม่มีความแค้นเคืองส่วนตัวใด ชีวิตคนไม่มีคุณค่าใด วันที่เขาตัดสินใจจะเป็นมือปืนรับจ้าง มีค่าเท่ากับว่า เขาปฏิเสธสิทธิในการมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ไปด้วย ทำไมคุณต้องพยายามไปปกป้องชีวิตของเขาด้วยล่ะ

เขาเหมือนใครคนหนึ่งที่ฆ่าตัวตายไปแล้ว

เขาปฏิเสธสิทธิแห่งการมีชีวิตไปแล้ว

ผู้ก่อการร้ายที่ฆ่าคนบริสุทธิ์ หรือคนทั่วไป เพียงเพราะต้องการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง หรือลัทธิอื่นใดก็เช่นกัน วันที่เขาเลือกจะทำเช่นนั้น เขาได้ปฏิเสธสิทธิในการมีชีวิตไปแล้ว

คุณพยายามจะปฏิเสธอะไร

วันที่เขาถูกจับ และดิ้นรนว่าอย่าฆ่าเขาเลย อันนี้เป็นตรรกะวิบัติ

คุณพยายามจะปกป้องตรรกะวิบัติหรือ

สำหรับฉัน นี้คือรากเหง้าของคริสต์ศาสนา ที่มีหลักการว่า หากมีคนตบหน้าคุณด้านหนึ่ง คุณก็ต้องหันหน้าอีกด้านหนึ่งให้

ลัทธิของคริสต์ได้แฝงตัวลึกล้ำ จนกลายเป็นสิทธิมนุษยชน กลายเป็นสิ่งทันสมัยยิ่งนัก

ไม่สนใจว่าสิทธิมนุษย์จริงๆ แล้วคืออะไร มันขัดแย้งกันเอง

มันเป็นตรรกะวิบัติ และรัฐที่ไม่มีโทษประหาร ซึ่งมีเมตตาสูงสุดนี้ กลับกลายเป็นรัฐที่มีตรรกะวิบัติ มันน่าประหลาด มันขัดแย้งล้ำลึก

คนที่บอกว่า รัฐที่มีโทษประหาร เป็นรัฐที่อันตราย เขากลัวว่า วันหนึ่งรัฐจะมาจับเขาหรือคนที่เขารักไปประหาร ความกลัวนี้ไม่มีเหตุผลเลย

เหมือนเครื่องบินตกที่ใดที่หนึ่งในโลก ทันใดนั้น ผู้คนก็ยกเลิกเที่ยวบินด้วยความกลัว บางคนกลัวถึงขั้นไม่กล้าเดินทางโดยเครื่องบินนานหลายสัปดาห์ หรือหากเราสมมุติไกลออกไปอีก สมมุติว่าเขาไม่กล้าเดินทางโดยเครื่องบินอีกเลยตลอดชีวิต นี้ไม่ใช่ตรรกะวิบัติหรอกหรือ

ข้อแรก เขาก็ต้องตายอยู่ดี เพราะยังมีภัยพิบัติมากมายนับไม่ถ้วนรออยู่ เขาอาจถูกรถชนตาย อาจป่วยเป็นมะเร็งตาย อาจโดนโจรปล้นฆ่า เขาที่จริงไม่ได้อายุยืนขึ้นเลย

รัฐหากจะทำร้ายประชากรของตน เขาก็ทำได้นานารูปแบบ สุดจะบรรยายได้

หากรัฐนั้นไม่ทำ เขาก็ไม่ทำ

ที่จริงโทษประหารชีวิต ไม่เกี่ยวกับความปลอดภัย หรืออันตรายใดเลย

แต่มันเกี่ยวในทางปรัชญา ที่เราต้องถามตัวเอง ว่าสิทธิในการมีชีวิตในสังคม เราจะขีดเส้นที่ตรงไหน

หลักการพื้นฐานของคริสต์ศาสนานี้แปลงร่างได้ มันอาจถูกหัวเราะเยาะ วันที่มันบอกว่า หากมีใครตบหน้าคุณด้านหนึ่ง คุณก็หันหน้าอีกด้านหนึ่งให้

แต่วันนี้ คนที่ปฏิเสธสิทธิในการมีชีวิตไปแล้ว คุณยังปกป้องชีวิตของเขาอยู่ มันไม่ได้แตกต่างกับข้อความข้างต้นเลย แต่คุณไม่รู้สึกตัว คุณกำลังหลงในความหอมหวานของความดีอันนี้

มีวันหนึ่ง มีคนนับถือคริสต์นิกายใดฉันจำไม่ได้ เป็นสามีภรรยาคู่หนึ่ง พวกเขามากดออดประตูบ้านของฉัน และอยากขอเข้ามาคุยด้วย ฉันจึงเชิญพวกเขาเข้ามาดื่มชา ด้วยอยากรู้ว่าพวกเขาจะคุยอะไร

พวกเขาเล่าให้ฉันฟังถึงโลกอนาคต ที่โลกนี้มีแต่สันติภาพ เสือและกวางเป็นเพื่อนกันในทุ่งหญ้า และเอาภาพวาดให้ฉันดู

ฉันจำได้ ฉันตื่นตะลึง

เพราะกวางนั้นเป็นสัตว์กินหญ้า การที่มันอยู่ในทุ่งหญ้า มันมีอาหาร

แต่เสือเป็นสัตว์กินเนื้อ

แล้วมันจะกินอะไรเป็นอาหาร

รัฐที่มีโทษประหาร ไม่ได้หมายความว่าอาชญากรรมจะหมดไป หรือลดน้อยลง เราไม่รู้ได้

ที่มาของอาชญากรรมนั้นซับซ้อน มีหลายสาเหตุ

หากสังคมนั้นมีปัญหา มันก็มีปัญหา

แต่ทว่าสิทธิของมนุษย์จะชัดเจนขึ้น กฎหมายจะชัดเจนขึ้น

เป็นการกำหนดว่า อาชญากรรมแบบใดที่สังคมนี้รับไม่ได้ ไม่ต้องการ

คุณต้องการมือปืนรับจ้างหรือ คุณต้องการผู้ก่อการร้ายหรือ

สังคมไม่ต้องการสิ่งใด ขีดเส้นได้

ชีวิตเป็นของเจ้าตัว เขาเลือกเองแต่ต้น

จะบอกว่าเขาไม่รู้สึกตัวไม่ได้

คนที่เป็นมือปืนรับจ้าง ไม่รู้สึกตัวได้ยังไง ว่าเขากำลังฆ่าคนอื่น ทั้งที่ไม่มีความแค้นเคืองใด ไม่มีสาเหตุใด นอกจากเห็นคุณค่าของชีวิตคนอื่นเป็นค่าของเงิน

ถ้าตรรกะวิบัติ เราจะไม่รู้แล้วว่า กวางกินอะไร เสือกินอะไร

เรากำลังเผลอคิดไปว่าเราเป็นพระเจ้า ไปเปลี่ยนแปลงสิ่งพื้นฐานของชีวิตได้ เราจะกำหนดให้สิ่งมีชีวิตเลือกกินอาหารได้หรือ การที่เสือกินเนื้อนั้น มันเป็นธรรมชาติ มีมาช้านาน มันจะกินหญ้าได้จริงหรือ ถ้ากินได้ มันจะผอมแห้งอย่างไร

หรือว่าจะให้มันไปกินไก่

แต่ทำไมต้องให้ไก่รับเคราะห์ด้วยล่ะ