ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 4 - 10 พฤศจิกายน 2559 |
---|---|
เผยแพร่ |
จำจี้มะเขือเปราะ กะเทาะหน้าแว่น พายเรืออกแอ่น กระแท่นต้นกุ่ม สาวสาวหนุ่มหนุ่ม อาบน้ำท่าไหน อาบน้ำท่าวัด เอาแป้งไหนผัด เอาพัดไหนโบก เอากระจกไหนส่อง เยี่ยมเยี่ยมมองมอง นกขุนทองร้องวู้ ฯ
เพลงร้องเล่นของเด็กไทย สมัยเด็กจำได้ว่าร้องกันตามเนื้อข้างต้นนั้น มาสมัยหลังหลายคนจำได้ร้องได้แต่ตกสองวรรคนี้ไป คือสองวรรคที่ว่า
เอาแป้งไหนผัด เอาพัดไหนโบก
กลายเป็น “…อาบน้ำท่าไหน อาบน้ำท่าวัด เอากระจกไหนส่อง…”
ซึ่งนอกจากขาดจังหวะจะโคนของถ้อยคำแล้วก็ยังขาดใจความสำคัญอันเป็นขั้นตอนภายหลังจากเสร็จอาบน้ำ คือ ผัดแป้ง และ พัดโบก
ไปเห็นการสรงพระพักตร์พระมหามัยมุนีที่เมืองมัณฑะเลย์แห่งเมียนมาแล้วจึงเข้าใจว่าขั้นตอน “แป้งผัด-พัดโบก” นี้มีอยู่จริง
คือหลังจากสรงพระพักตร์ หรือ “ล้างหน้า” ขัดสีฉวีวรรณพระพักตร์พระพุทธรูปและเช็ดถูจนสะอาดดีแล้ว ก็จะใช้พัดใหญ่โบกลมเพื่อให้ผิวพระพักตร์แห้งสนิท แล้วใช้ผ้าลูบไล้จนผุดพรายประกายผ่องเรืองอร่ามขึ้น ณ กษณะนั้น
ได้เห็นเป็นรูปธรรมอีกที เมื่อวันที่คณะเราไปเยือนตลาดเมืองยองอู เมืองที่สถิตมหาเจดีย์ชะเวสิกอง อันน่าจะถือเป็นปฐมเจดีย์แห่งอาณาจักรพุกาม ซึ่งสถาปนาโดยพระเจ้าอโนรธามังช่อ หรือที่ไทยเรียกพระเจ้าอนิรุธนั้น
ตลาดยองอู เป็นตลาดชาวบ้าน ขายสรรพสารพัด เช่นตลาดสดทั่วไป เราได้พบสาวงามอนงค์หนึ่ง เธอกำลังนั่งเลือกซื้อดอกไม้เคียงข้างอยู่กับคุณยาย
สมภพ บุตราช ศิลปินเขียนรูปร่วมคณะเรามีโอกาสได้เขียนรูปเธอโดยติดต่อผ่านมัคคุเทศก์เรา ซึ่งคุณยายและเธอเชื้อเชิญคณะเราไปที่บ้านซึ่งอยู่ใกล้กันชั่วเดินไม่ถึงสิบก้าวนั้น บ้านเธอเป็นร้านอาหารชื่อ “ชะเว เมตตา”
คำว่า “ชะเว” แปลว่า ทอง
เมตตา ก็คือ เมตตา นี่แหละ
ชะเวเมตตา ในความหมายของพม่าที่เขาพยายามอธิบายนั้นคือ น้ำใจงาม ประมาณนั้น
เขียนรูปเสร็จ เราก็อยากดูกระบวนการขั้นตอนของการแต่งหน้าด้วย “ทานาคา” ซึ่งเห็นอยู่บนใบหน้าของแทบทุกคนทั้งผู้เฒ่าสาวหนุ่ม แม้ในไทยนี่ก็เถิด จะเห็นสาวทาหน้าด้วย “ทานาคา” อยู่ทั่วไปในชุมชนชาวมอญ พม่า
ทานาคา คือ ผงเปลือกไม้จากต้นไม้ที่ชื่อทานาคา เขาจะทอนเป็นท่อน นำท่อนทานาคานี้มาฝนส่วนเปลือกกับแท่นหินอย่างหินชนวน มักทำเป็นแป้นกลมๆ อย่างแท่นโม่แป้งมีร่องรางรอบไว้รองน้ำ เพราะเวลาฝนเปลือกทานาคา ต้องหยดน้ำลงละลายก็จะกลายเป็นแป้งผงชุ่มน้ำสีเหลืองอย่างขมิ้น
ตะละแม่สาวงามที่เธอมานั่งเป็นแบบให้สมภพเขียนรูปนี้เธอชื่อ “จูไล โม” แปลว่า ฝนเดือนกรกฎา คือ “โม” แปลว่า ฝน จูไลก็ JULY เดือนกรกฎาคมนี่แหละ เราจึงนิยามความหมายว่า เธอคือ “ฝนพรรษา” เพราะเดือนกรกฎาคมเป็นเดือนเข้าพรรษาพอดี พรรษาก็แปลว่าฝน ถ้าจะแผลงให้วิลิศมาหรา ก็น่าจะเป็น “หยดวรุณ” หรือ “หยาดวสันต์” ประมาณนั้น
ตะละแม่หยาดวรุณ เธอก็ทาทานาคา เมื่อเราอยากชมขั้นตอนของทานาคา ตะละแม่มารดาของเธอจึงเรียกน้องสาวคนรองซึ่งกำลังแรกรุ่นงามไม่แพ้กันมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ทันที
แม่ล้างหน้าลูกแล้วฝนทานาคา ทาปาดเต็มใบหน้าให้ลูกสาวเป็นรองพื้น แล้วใช้พัดสานค่อยโบกแป้งบนใบหน้าให้แห้ง
นี่ไง พัดโบกพระพักตร์พระพุทธรูปมหามัยมุนี
จากนั้นแม่ก็จะใช้นิ้วไล้ผงแป้งทานาคามาปาดประตรงหน้าผาก บนสันจมูกกับบนสองแก้ม
นี่แหละใช่เลย ผ่องพักตร์พระพุทธรูปยามเปล่งประกายเมื่อต้องแสงก็จะเรืองอร่ามอยู่ตรงบริเวณนี้คือ พระนลาฏ (หน้าผาก) สันนาสิก (สันจมูก) และสองปราง (สองแก้ม)
รอยทานาคาที่ปาดป้ายบนสองแก้ม ก็ประหนึ่งการ “ปิดทอง” บน “สองปราง” นี่เอง
นี่ไง “ปรางทองผ่องเพียงจันทร์เพ็ญ”
สาธุ
สาธุให้กับศรัทธาของชาวพม่าที่เขาโยงวิถีชีวิตไว้กับศรัทธาในพระพุทธศาสนาจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน
ดั่งสีทองอันอร่ามเรืองรองบนยอดเจดีย์ บนพักตร์พระพุทธรูป และบนใบหน้าประชาชน
มหาเจดีย์ชะเวสิกอง ที่ว่าเป็นปฐมเจดีย์แห่งอาณาจักรพุกาม วันที่คณะเราไปคารวะนั้น เขากำลังซ่อมยอดพระเจดีย์โดยคลุมซุ้มยอดทั้งหมดไว้ เช่นเดียวกับมหาเจดีย์สำคัญอีกหลายองค์ในพุกาม อันเนื่องจากพิบัติภัยแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่เพิ่งผ่านมานั้น
ชะเว แปลว่า ทอง ดังกล่าว สิกอง เขาว่าแปลว่า มัดไว้ อันหมายถึง ชัยชนะ ทำนอง “ชุมชัย” กระมัง ฉะนั้น จึงเป็นประหนึ่งมหาเจดีย์แห่งชัยชนะ ก็คือชัยชนะของอาณาจักรพุกามที่มีต่ออาณาจักรดั้งเดิมของชาวมอญซึ่งตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณนี้มาแต่เดิม คือ บริเวณลุ่มน้ำอิรวดี ซึ่งพม่าเรียก “เอยาวดี”
น่าสังเกตคือ เขาออกเสียง ร. เป็น ย. เช่น “รัตนะ” เขาเรียก “ยาดานา”
ชนชาวมอญนี่แหละเป็นแรงงานสร้างมหาเจดีย์ทั้งหลายในพุกาม ซึ่งสร้างด้วยอิฐเป็นสำคัญ
ดังเราเรียก “อิฐมอญ” นี่ไง
ทานาคา
เดือนเอยเดือนหงาย
ดาวกระจายเดือนผจงขึ้นทรงกลด
ทานาคาทาทองผ่องเพ็ญยศ
งามหมดจดแจ่มละไมเป็นใยยอง
ประนมนิ้วนวลแก้มแจ่มจรัส
เอาแปรงปัดพัดโบกกระจกส่อง
พิศดูเดือนดาวเด่นยังเป็นรอง
ไม่เหมือนนวลหน้าน้อง…อุแม่เอย ฯ
ทาเอยทานาคา
ทาหน้าข้าหน้าน้องพักตร์ผ่องผิว
ประจงจัดปาดป้ายด้วยปลายนิ้ว
เป็นลายริ้วลายทองผ่องประไพ
เอาท่อนทานาคามาฝนเปลือก
ไล้นิ้วเกลือกน้ำกลั้วค่อยเกลี่ยไกล่
ประพิมพ์พักตร์ลักยิ้มยิ่งพิมพ์ใจ
งามเหมือนใบหน้าน้องปิดทองเอย ฯ