อนุสรณ์ ติปยานนท์ : ความรักผ่านปลายปากกาของเกอเต้

รักของแวร์เธอร์

“ความรักเป็นสิ่งที่นำพาความสุขมาให้เรา แต่กระนั้นมันก็นำพาความเจ็บปวดมาด้วย ไม่มีผู้ใดในโลกที่เราจะทำร้ายเขาได้อย่างแสนสาหัสหรือถูกเขาทำร้ายจนพังทลาย เว้นแต่บุคคลที่เรารักเท่านั้นเอง”

จอห์น อาร์มสตรอง-John Armstrong

 

การครุ่นคิดถึงความรักอย่างจริงจังในสังคมตะวันตกนั้นเกิดขึ้นในปี 1744 อันเป็นปีที่โยฮันน์ วอล์ฟกัง ฟอน เกอเทอ-Johann Wolfgang von Goethe (หรือที่รู้จักกันทั่วไปในนามของเกอเต้-Goethe) ได้ประพันธ์นวนิยายเรื่องแรกในชีวิตของเขาอันได้แก่ The Sorrows of Young Werther (แวร์เธอร์ระทม)

นวนิยายเล่มไม่หนานี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากด้วยสาเหตุที่มันแสดงให้เห็นถึงอารมณ์อันพลุ่งพล่านจากความรักในวัยหนุ่มสาว

ความรักนั้นมีพื้นฐานมาจากห้วงอารมณ์ มีพื้นฐานมาจากความรู้สึก ไม่ว่าเราจะพิจารณามันลึกล้ำมากเพียงใด

รากฐานของความรักล้วนมาจากอารมณ์และความรู้สึกโดยแน่แท้

นวนิยายเรื่องแวร์เธอร์ระทมนั้นมีแก่นสารอยู่ที่ความรักอันไม่สมหวังของหนุ่มแวร์เธอร์ที่มีต่อสาวชาลอตต์ แม้ว่าโครงเรื่องของนวนิยายเรื่องนี้จะเรียบง่ายไม่ซับซ้อน

ทว่าภาษาอันวิจิตรบรรจงของเกอเต้กลับทำให้งานเขียนเรื่องนี้ติดตราตรึงใจผู้อ่านไม่รู้ลืม

ประสบการณ์ด้านความรักนั้นปรากฏในนวนิยายจำนวนมากนับแต่อดีต (ไม่ว่าจะเป็นในเดคาเมรอนหรือแม้แต่ตำนานวีรบุรุษกรีก) แต่การบรรยายถึงห้วงความรู้สึกที่ตกอยู่ในห้วงรักกลับปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกในนวนิยายเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นความห่วงหาอาทร ความกังวล ความคิดถึง ความสิ้นหวังแม้กระทั่งผลลัพธ์ของความรักอันไม่สมหวังที่นำไปสู่ความตาย

“ข้าพเจ้าจะต้องพบเธอให้จนได้ในวันนี้” ข้าพเจ้าขบคิดเรื่องนี้ด้วยความปีติเมื่อลืมตาตื่นขึ้นในยามเช้าก่อนจะมองออกไปที่โลกภายนอกด้วยความสุขยังแสงเจิดจ้าของดวงอาทิตย์ “ข้าพเจ้าจะต้องได้พบเธอในวันนี้”

ข้าพเจ้าคิดเพียงเท่านั้น ไม่มีความคิดอื่นอีกเลย

 

เกอเต้สร้างโลกของแวร์เธอร์ที่มีแต่ชาลอตต์เท่านั้นเป็นศูนย์กลางแห่งชีวิต

นับแต่ลืมตาตื่นความคิดคำนึงของแวร์เธอร์ก็วนเวียนอยู่ที่ชาลอตต์

ประสบการณ์เช่นนี้บุคคลที่ตกอยู่ในห้วงแห่งความรักย่อมประจักษ์ได้ดี

เราพร่ำเพรียกหา โหยหาใครสักคนที่เราปรารถนานับจากเช้าจรดค่ำ เราเฝ้าคิดถึงเขาแทบทุกลมหายใจ ปรารถนาที่จะได้พบหน้า พูดคุย สนทนา หรืออย่างน้อยก็ได้เห็นเขาแม้ในระยะไกลก็ตามที โลกที่เราเคยมี เคยเป็น เคยใช้ชีวิตสลายหายไปกับภาพนิมิตของเขาในความคิดคำนึงของเรา แม้การได้เห็นเขาเพียงชั่วเวลาสั้นๆ ภาพนั้นก็ติดตรึงใจไม่รู้เลือน

แม้ได้ยินเสียงของเขาเพียงชั่วขณะหนึ่ง เสียงนั้นก็ก้องกังวานในโสตประสาทของเราไม่รู้ลืม การดำรงอยู่ของบุคคลที่เรารักเป็นอาณาจักรยิ่งใหญ่ที่เราวนเวียน ติดพันอยู่ในนั้นอย่างไม่ปรารถนาที่จะหาทางออกใดเลย

แวร์เธอร์ถือว่าเป็นตัวแทนของผู้ที่ติดอยู่ในอาณาจักรแห่งรัก และเกอเต้เองก็หาได้บรรเทามือในการบรรยายทุรนทุรายแสนสาหัสของเขา ในฉากที่เขาได้สัมผัสร่างกายของชาลอตต์เป็นครั้งแรกนั้น หัวใจของเขาแทบจะพังทลาย

“หัวใจของข้าพเจ้าเต้นแรงเมื่อข้าพเจ้าเผลอไปสัมผัสร่างกายของเธอโดยไม่ตั้งใจ เท้าของข้าพเจ้ากระทบกับเท้าของเธอที่ใต้โต๊ะ ข้าพเจ้าสะดุ้งสุดตัวราวกับถูกผิวโลหะร้อนแดง แต่แรงปรารถนาลึกกลับบอกให้ข้าพเจ้าเหยียดขากลับไปยังที่เดิม ในขณะที่เรากำลังสนทนากัน มีบางครั้งที่เธอเผลอวางมือลงบนหลังมือของข้าพเจ้า โดยเฉพาะในยามที่เธอรู้สึกตื่นเต้นกับบทสนทนา ร่างกายของเธอจะเคลื่อนเข้าชิดใกล้ข้าพเจ้า ลมหายใจของเธอพวยพุ่งขึ้นกระทบริมฝีปากของข้าพเจ้า ช่วงเวลานั้นเองที่ข้าพเจ้ารู้สึกดังถูกสายฟ้าฟาดจนร่างกายจมดิ่งลงในพื้นพสุธา”

แม้จะเป็นเวลานานนับหลายร้อยปีจากปัจจุบันก็ตามที สิ่งที่แวร์เธอร์ประสบกลับไม่ต่างจากเราหรือใครที่ตกอยู่ในห้วงแห่งความรัก

แวร์เธอร์เต็มไปด้วยความลังเลสงสัย ความลังเลสงสัยที่มีต่อความรักของชาร์ลอตต์ เกอเต้ได้ผูกเรื่องที่เราคาดเดาได้ว่ามันอาจจบลงด้วยความรักที่ไม่สมหวังเมื่อชาร์ลอตต์นั้นมีคู่หมั้นคู่หมายอยู่แล้ว

แต่กระนั้น เป็นไปได้ไหมว่า ในที่สุดเธออาจเปลี่ยนใจเมื่อประจักษ์ถึงความรักอันเปี่ยมล้นของแวร์เธอร์ ความลังเล กังวล สงสัยเช่นนี้ปรากฏชัดในฉากที่ชาร์ลอตต์จากลาเขาไปหลังการสิ้นสุดของงานเลี้ยง

“ข้าพเจ้าจ้องมองดวงตาของชาร์ลอตต์ มันจับจ้องไปที่บุคคลอื่นเว้นแต่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าผู้ที่ยืนสงบนิ่งอยู่กับที่ราวกับถูกสาป ข้าพเจ้าผู้ที่ไม่สนใจผู้ใดอื่นเลยนอกจากเธอ รถม้าโดยสารของเธอเคลื่อนที่จากไป ดวงตาของข้าพเจ้าเปียกชื้น ข้าพเจ้ามองตามไปด้วยความอาลัย แต่แล้วหมวกของชาร์ลอตต์ก็พ้นออกมาจากทางหน้าต่างราวกับว่าเธอกำลังเหลียวหาใครบางคน เป็นข้าพเจ้าหรือเปล่าหนอ? อาจเป็นข้าพเจ้าที่เธอมองหา อาจเป็นเช่นนั้น”

 

การเคลื่อนตามประสบการณ์ความรักของแวร์เธอร์ช่างน่าสะพรึงกลัว มันแสดงให้เราเห็นว่าโลกที่มีคนที่เรารักเป็นศูนย์กลางนั้นช่างเต็มไปด้วยความอันตราย เขาผู้นั้นเป็นทุกสิ่ง และพ้นจากการมีอยู่ของเขาเราเห็นแต่ความมืดมิดและว่างเปล่า เกอเต้บรรยายความรู้สึกข้อนี้ของแวร์เธอร์ไว้ว่า

“โลกที่หัวใจปราศจากความรักนั้นจักเป็นเช่นใดหนอ ตะเกียงที่ปราศจากแสงสว่างจักเป็นเช่นใดหนอ?”

มีสี่อย่างที่ปรากฏขึ้นยามที่เราอยู่ในห้วงรัก อันได้แก่ ความรู้สึกโหยหา ความรู้สึกอิ่มเอิบหรือปีติสุข ความกังวลใจ และความรู้สึกที่เราได้เข้าถึงบางสิ่งที่ลึกซึ้งของอารมณ์ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นองค์ประกอบของความรักแบบโรแมนติก

ก่อนหน้าปี 1774 ที่นวนิยายเรื่องแวร์เธอร์ระทมจะปรากฏขึ้นไม่ใช่ว่ามีสิ่งนี้ แต่เกอเต้เป็นบุคคลแรกที่แจกแจงมันออกมาอย่างละเอียดผ่านทางประสบการณ์ของแวร์เธอร์

ความสำเร็จของนวนิยายเล่มนี้อยู่ตรงที่ผู้อ่านสามารถแทนตัวเองกับแวร์เธอร์ เกอเต้ได้นำเอาความรักแบบโรแมนติกออกมาตีแผ่ให้ทุกคนได้ประจักษ์กัน

เขาไม่ได้สรรค์สร้างมันขึ้นมา เขาเพียงแต่บรรยายมันให้ทุกคนได้ประจักษ์ชัดว่าความรักแบบโรแมนติกนั้นมีผลมากมายเช่นไรต่อชีวิตเรา

 

ไม่ต้องคาดเดากระไรเลย ผู้อ่านแทบจะสัมผัสได้ว่าบั้นปลายของเรื่องนั้นต้องจบลงที่ความผิดหวังของแวร์เธอร์ (อันที่จริงแล้วชื่อเรื่องที่ตั้งขึ้นโดยเกอเต้ The Sorrows of Young Werther ก็บอกเป็นนัยเช่นนั้นอยู่แล้ว)

แวร์เธอร์ไม่อาจมีชีวิตต่อไปได้เมื่อปราศจากชาร์ลอตต์

เขาจบชีวิตตนเองด้วยการยิงตัวตาย เมื่อไม่อาจสร้างความรักที่สมหวัง

เมื่อไม่อาจได้ครอบครองและคู่เคียงกับเธอ

เมื่อไม่อาจเปิดเผยความในใจอันปวดร้าวให้เธอได้รับรู้และเห็นใจ

จุดจบของชีวิตดูจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ความรักของเขาจึงดำรงความบริสุทธิ์ ไร้มลทิน ไปชั่วกาลนาน

ความรักเชิงโรแมนติกนั้นช่างน่าประทับใจและตราตรึงใจเป็นอย่างยิ่ง

กระนั้นมันก็เปิดโอกาสให้เราตั้งคำถามว่าถ้าแวร์เธอร์สมหวังกับชาร์ลอตต์

ถ้าเราได้ความรักตอบจากคนที่เราใฝ่ฝัน อะไรจะเกิดขึ้น

อะไรจะดำเนินต่อไป

หากแวร์เธอร์สามารถถูกเนื้อต้องตัวชาร์ลอตต์ได้ทุกครั้งที่เขาปรารถนา

ความรู้สึกดังการถูกของร้อนลวกเนื้อตัวจะยังมีอยู่หรือไม่

หากแวร์เธอร์สามารถสบตาเธอได้ทุกครา ความห่วงหาอาลัยจะมีอยู่หรือไม่ หรือว่าหากเราได้ครอบครองคนที่เราเดินทางเป็นระยะทางนับร้อยนับพันกิโลเมตรเพียงเพื่อพบหน้า เขาคนนั้นจะยังมีคุณค่าเช่นดังเดิมไหม

ความรักเชิงโรแมนติกนั้นเป็นที่ติดตราตรึงใจเพราะความไม่สมหวังของมัน แต่ถ้าหากมันได้รับการตอบสนองเล่า แต่ถ้าหากมันได้ลุล่วงแก่ความต้องการเล่า แวร์เธอร์จะระทมใจอยู่ไหมเป็นไปได้ไหมที่เขาอาจเบื่อหน่ายชาร์ลอตต์หลังการครองคู่กันไป

ความรักเชิงโรแมนติกกำเนิดขึ้นในช่วงขณะของห้วงเวลาก่อนจะจบสิ้นไป หากโรมิโอได้ครองคู่กับจูเลียตไปตลอดชีวิตจนแก่เฒ่า ทั้งคู่จะกระทำตนเช่นไร ทั้งคู่ยังจะโหยหากันดังที่การพบหน้าเพียงคืนหนึ่งนำพามาให้เจอหรือไม่

นี่เป็นคำถามที่น่าสนใจอย่างยิ่งต่อความรักโดยเฉพาะความรักเชิงโรแมนติกที่เราทุกคนล้วนใฝ่หาในจิตใจ