บทวิเคราะห์ : “จามาล คาช็อกกี” นักข่าวผู้สาบสูญ สู่ปริศนาฆาตกรรมในกงสุล

จามาล คาช็อกกี นักเขียน ผู้สื่อข่าววอชิงตันโพสต์ ชาวซาอุดีอาระเบีย กลายเป็นที่สนใจของคนทั่วโลก ในเวลาเดียวกันกับที่เขาเข้าไปในสถานกงสุลซาอุดีอาระเบีย ในนครอิสตันบูล และไม่กลับออกมาอีกเลย จนถึงวันนี้ก็กว่าสองสัปดาห์แล้ว

คาช็อกกี ผู้ที่มีวันเกิดครบรอบ 60 ปีไปเมื่อวันที่ 13 ตุลาคมที่ผ่านมา เป็นผู้สื่อข่าวซาอุฯ ผู้สื่อข่าวต่างชาติ บรรณาธิการ และคอลัมนิสต์ ที่งานเขียนนับว่าสร้างความขัดแย้งในประเทศบ้านเกิดไม่น้อย โดยคาช็อกกีตัดสินใจลี้ภัยมาอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกาด้วยตัวเอง หลังจาก “มกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน” มีบทบาทในฐานะผู้นำประเทศและเตรียมที่จะขึ้นครองบัลลังก์ต่อจากกษัตริย์ซัลมานพระชนกในวัย 82 พรรษา เร็วๆ นี้

คาช็อกกีเป็นที่รู้จักกันในวงการข่าวสารตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 80-90 ในฐานะผู้ได้สัมภาษณ์และเขียนงานใกล้ชิดกับโอซามา บิน ลาเดน ผู้ก่อตั้งกลุ่มก่อการร้ายอัลเคด้าชาวซาอุดีอาระเบีย

โดยคาช็อกกีเคยโน้มน้าวให้บิน ลาเดน กลับไปปรองดองกับราชวงศ์ซาอุฯ ด้วยในช่วงทศวรรษที่ 90 แต่บิน ลาเดน ปฏิเสธ

 

จากประสบการณ์งานข่าวทั้งในสถานีโทรทัศน์อัล-อาหรับนิวส์ หนังสือพิมพ์อัลวาตัน และเป็นผู้ที่โพสต์ข้อความในทวิตเตอร์ที่กลายเป็นเรื่องฮือฮาหลายครั้ง จนต้องถูกทางการซาอุฯ แบนการใช้สื่อสังคมออนไลน์ดังกล่าว ส่งผลให้คาช็อกกีตัดสินใจเดินทางไปอาศัยในสหรัฐอเมริกาในฐานะผู้ลี้ภัยเมื่อปี 2017 ที่ผ่านมา และเริ่มเขียนบทความวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลซาอุดีอาระเบียอย่างตรงไปตรงมา ขณะที่บางครั้งก็จิกกัดแบบเจ็บแสบ

ไม่ว่าจะเป็นประเด็นเกี่ยวกับการกวาดล้างทุจริตครั้งใหญ่ยึดทรัพย์นักธุรกิจและบุคคลสำคัญผู้ร่ำรวยในประเทศแลกกับอิสรภาพ วิพากษ์วิจารณ์โครงการปฏิรูปประเทศ ประเด็นการปิดกั้นไม่ให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ รวมไปถึงการส่งกำลังทหารไปแทรกแซงสงครามกลางเมืองในประเทศเยเมน เป็นต้น

“ดูเหมือนเขาจะนำพาประเทศแบบศาสนาสุดโต่งแบบเก่า ไปเป็นความสุดโต่งในแบบที่ว่า “คุณต้องยอมรับการปฏิรูปของผม” โดยที่ไม่ต้องมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นใดๆ”

คาช็อกกีเขียนไว้ในบทความตีพิมพ์ในเดอะการ์เดียน เมื่อวันที่ 6 มีนาคมที่ผ่านมา

 

เรื่องราววุ่นวายเริ่มต้นขึ้นหลังจากคาช็อกกีเดินทางเข้าไปยังสถานกงสุลซาอุดีอาระเบีย ในนครอิสตันบูล ประเทศตุรกี เมื่อวันที่ 2 ตุลาคมตามนัด เพื่อรับเอกสารที่จะใช้สำหรับการแต่งงานกับ “ฮาติซ เซ็นกิซ” คู่หมั้นชาวตุรกี

หลักฐานจากภาพวงจรปิดแสดงให้เห็นคาช็อกกีเดินเข้าไปในสถานกงสุลในเวลา 13.14 น. จากนั้นไม่ถึงสองชั่วโมง มีรถยนต์ที่มีป้ายทะเบียนทางการทูตขับออกจากสถานกงสุลมุ่งหน้าไปยังบ้านกงสุลใหญ่ซาอุดีอาระเบีย ประจำนครอิสตันบูลที่ห่างออกไป 2 กิโลเมตร

ด้านฮาติซ เซ็นกิซ คู่หมั้นที่ใช้เวลารออยู่ด้านนอกนานหลายชั่วโมงโดยถือโทรศัพท์มือถือของคาช็อกกีเอาไว้ยืนยันว่า คาช็อกกีไม่ได้เดินออกมาอีกเลยนับตั้งแต่เดินเข้าไป โดยกล้องวงจรปิดแสดงให้เห็นเซ็นกิซเดินไปเดินมาอยู่ด้านหน้าสถานกงสุลจนถึงเวลา 17.33 น.

แน่นอนว่าการหายตัวไปของผู้สื่อข่าวซาอุดีอาระเบีย ที่งานเขียนส่วนใหญ่เป็นการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลซาอุดีอาระเบีย โดยเฉพาะ “มกุฎราชกุมารซัลมาน” ทำให้เป้าสงสัยพุ่งตรงไปที่รัฐบาลซาอุดีอาระเบีย รวมไปถึงตัวเจ้าชายซัลมานเอง

 

ชาติมหาอำนาจหลายชาติต่างเรียกร้องให้ทางการซาอุดีอาระเบียเปิดเผยความจริงออกมา โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาที่ประกาศจะลงโทษผู้อยู่เบื้องหลังให้ถึงที่สุด

ทางการตุรกีที่สืบสวนคดีดังกล่าวอย่างใกล้ชิดตั้งข้อสงสัยว่าคาช็อกกีอาจถูกฆาตกรรมและถูกหั่นศพเป็นชิ้นๆ เพื่อเคลื่อนย้ายไปจากสถานกงสุลแล้ว ในขณะเดียวกันก็เปิดเผยภาพจากกล้องวงจรปิดที่แสดงให้เห็นกลุ่มผู้ต้องสงสัย 15 คนที่เดินทางเข้าประเทศ ก่อนเข้าและออกจากสถานกงสุลอย่างน่าสงสัยในวันเดียวกับที่คาช็อกกีหายตัวไป และยังระบุด้วยว่าในจำนวนนี้เป็นคนที่ถูกส่งมาจากกองทัพซาอุฯ ในฐานะทีมล่าสังหาร ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการชันสูตรศพด้วย

ด้านรัฐบาลซาอุดีอาระเบียระบุว่าข้อกล่าวหาดังกล่าว “ไม่มีมูลความจริง” และว่า กลุ่มคนต้องสงสัย 15 คนดังกล่าวนั้นเป็นเพียง “นักท่องเที่ยว” เท่านั้น แต่ก็ไม่ได้มีหลักฐานใดมาประกอบคำยืนยัน

ล่าสุด รัฐบาลซาอุฯได้แถลงว่า การเสียชีวิตของนายคาลช็อกกี ถือเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่และถูกอำนาจเถื่อนจนเสียชีวิต แต่กระนั้นก็ยังไม่เป็นที่พอใจให้กับชาติตะวันตกรวมถึงสหรัฐฯ และหวังที่จะพบชิ้นส่วนของนายคาช็อกกี

คงต้องติดตามต่อไปว่าการชี้แจงของทางการซาอุดีอาระเบียที่อาจเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ จะทำให้ข้อสงสัยคลี่คลายหรือทำให้เรื่องราวบานปลายไปยิ่งกว่านี้