ขอบคุณข้อมูลจาก | บทความพิเศษ ฉบับวันที่ 22 ม.ค. - 28 ม.ค. 2559 |
---|---|
เผยแพร่ |
ในบทความ Beethoven and the Birth of Romantic Musical Experience in France ของ James H. Johnson (19th-Century Music, Vol. 15, No. 1 [Summer, 1991]) อธิบายถึงลักษณาการที่ชาวฝรั่งเศสให้การตอบรับกับดนตรีของเบโธเฟนในช่วงทศวรรษที่ 1800 และ 1830 ว่าทั้งสองช่วงเวลามีความแตกต่างกันอย่างมาก
นั่นคือ เมื่อ Symphony No. 1 ของเบโธเฟนได้รับการบรรเลงครั้งแรกในปารีสเมื่อปี 1807 ผู้ฟังและนักวิจารณ์ชาวฝรั่งเศสส่วนมากไม่ประทับใจกับผลงานของเบโธเฟนโดยสิ้นเชิง
โดยนักวิจารณ์รายหนึ่งถึงกับกล่าวว่าดนตรีของเบโธเฟนเป็นเพียงการสำแดงออกซึ่งความ “ป่าเถื่อน” แบบเยอรมันเท่านั้น
และกระทั่งเมื่องานซิมโฟนีชิ้นสำคัญอย่าง Symphony No. 3 (หรืออีกนามหนึ่งว่า Eroica) ออกแสดงครั้งแรก ผู้เขียนอัตชีวประวัติของเบโธเฟนคือ Anton Schindler ก็ยังบันทึกไว้ว่าผู้ฟังบางส่วนถึงกับส่งเสียงหัวเราะด้วยความขบขัน
หลักฐานหลายชิ้นกล่าวตรงกันว่าในทศวรรษที่ 1800 งานของเบโธเฟนไม่ได้รับความนิยมในฝรั่งเศส โดยเฉพาะงานประเภทซิมโฟนีที่เห็นได้จากการถูกนำออกแสดงเพียงน้อยครั้ง
แต่ปี 1828 (หลังมรณกรรมของเบโธเฟนเพียงหนึ่งปี) กลับเป็นจุดพลิกผัน เมื่อมีการแสดงงาน Eroica อีกครั้ง และผู้ฟังจำนวนมากแสดงความประทับใจในผลงานชิ้นนี้เป็นอย่างยิ่ง ทั้งชื่นชม ทั้งตื่นตะลึง และแปลกใจ ที่เหตุใดผลงานชั้นเยี่ยมเช่นนี้จึงถูกปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการใส่ใจจากสาธารณชน
(Eroica ถูกเขียนขึ้นในปี 1806)
นับแต่นั้น งานซิมโฟนีของเบโธเฟนก็ได้รับการประเมินใหม่เป็นงานที่สูงค่า และได้รับความนิยมในหมู่นักฟังเพลงชาวฝรั่งเศสเป็นอย่างมาก
จนกล่าวกันว่าในการแสดงคอนเสิร์ต ทันทีที่ดนตรีจบท่อน ผู้ฟังจะพากันส่งเสียงโห่ร้องชื่นชมด้วยความพึงพอใจ
แล้วอะไรเป็นสาเหตุให้ชาวฝรั่งเศสตอบรับดนตรีของเบโธเฟนแตกต่างกันได้ถึงเพียงนั้นในช่วงเวลาเพียงสองทศวรรษ?
James H. Johnson ให้คำอธิบายว่า สาเหตุของเรื่องนี้น่าจะเกิดจากการเปลี่ยนผ่านทางสุนทรียศาสตร์ในหมู่ผู้ฟังดนตรีชาวฝรั่งเศส ที่ในช่วงปี 1800 ยังคงคุ้นเคยกับดนตรีแบบเดิมตามขนบ อันเป็นดนตรีที่ถือกันว่าสามารถสร้าง “ภาพ” ให้ปรากฏแก่จินตนาการของผู้ฟังได้
นั่นคือ ดนตรีดำรงอยู่ในสถานะของสัญลักษณ์ซึ่งสามารถแปลความหมายเป็นภาพ
ดังนั้น งานของนักแต่งเพลงอย่างไฮเดิน (Joseph Haydn 1732-1809) จึงได้รับความนิยมในปารีส โดยเฉพาะงานที่เสียงดนตรีสามารถบรรยายภาพของชื่อเพลงได้ชัดๆ เช่น Symphony No. 73 ที่มีชื่อรองว่า “การล่าสัตว์” อันเป็นงานที่ไฮเดินใช้เทคนิคการแต่งเพลงให้ผู้ฟังรู้สึกถึงเสียงของการควบม้า และยังใช้แตรเป่าด้วยท่วงทำนองเลียนเสียงแตรล่าสัตว์จริงๆ อีกด้วย
ส่งผลให้งานของเบโธเฟน ที่ไม่เน้นเรื่องการสร้าง “ภาพ” ไม่ได้รับความนิยมจากผู้ฟังในช่วงนั้น
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความนิยมในการฟังดนตรีของชาวปารีสเริ่มเคลื่อนออกจากเดิม และเปลี่ยนมาสู่การให้ความสนใจกับดนตรีที่แสดงความหมายทาง “อารมณ์” หรือ “ความคิด” บางอย่าง
และสุดท้าย ในช่วงหลังของทศวรรษที่ 1820 ด้วยอิทธิพลของกระแสโรแมนติก ภาษาของดนตรีได้ถูกยกระดับขึ้นอยู่เหนือความหมายใดๆ จนดนตรีกลายเป็นสิ่งที่ “ภาษา” ไม่อาจอธิบายอีกต่อไป
แนวคิดนี้สอดคล้องกับแนวดนตรีของเบโธเฟน และสอดคล้องกับข้อเขียนของนักเขียน-นักวิจารณ์สายโรแมนติกจิตนิยมจำนวนมากในขณะนั้น ทั้งในเยอรมนีและฝรั่งเศส ที่ยกย่องดนตรีเป็น “ภาษาสากล” ที่ข้ามพ้นพรมแดนของถ้อยคำ
ส่งผลให้ชาวปารีสจำนวนมาก หันกลับมายกย่องชื่นชมเบโธเฟนในฐานะของนักแต่งเพลงโรแมนติกผู้เปี่ยมไปด้วยอัจฉริยภาพ
แต่งาน Symphony No. 6 ของเบโธเฟนกลับเป็นชิ้นงานที่แปลกประหลาดและผิดที่ผิดทาง
เพราะงานชิ้นนี้มีชื่อรองว่า Pastoral Symphony ซึ่งหมายถึงการชื่นชม “ภาพ” ธรรมชาติในชนบท โดยแต่ละท่อนของซิมโฟนีบทนี้ยังใช้ชื่อที่สื่อถึงฉากและเรื่องราวอย่างแจ่มชัด เช่น ในท่อนที่สอง ระบุว่าเป็น “ฉากริมลำธาร” (Scene by the brook) เป็นต้น
นักวิจารณ์จำนวนหนึ่งจึงกล่าวติเตียนว่า Symphony No. 6 เป็นงานที่พ้นสมัย
แต่อย่างไรก็ตาม งานซิมโฟนีบทนี้ก็ได้รับการปกป้องจากนักเขียน-นักวิจารณ์ที่อยู่ฝ่ายเบโธเฟน โดยอธิบายว่า การรับฟัง Symphony No. 6 อย่างถูกต้อง ผู้ฟังต้องไม่เชื่อมโยง “เสียงเพลง” เข้ากับ “ภาพ” ใดๆ และควรเปิดจินตนาการให้กว้างขวางที่สุด
เพื่อให้เสียงเพลงนี้เป็นการชื่นชมธรรมชาติอย่างนามธรรม ที่ข้ามพ้นความเป็น “ภาษาสามัญ” ของมนุษย์ สู่ความเป็น “ภาษาของทวยเทพ” (divine language)
และด้วยแนวคิดแบบลัทธิโรแมนติกและความเชื่อว่าด้วยภาษาแห่งทวยเทพนี้เอง ที่ทำให้ตัวละครบาทหลวงในเรื่อง La Symphonie Pastorale ของ Andr? Gide ครุ่นคิดขณะตอบคำถามของเด็กสาวตาบอด ว่าเสียงเพลงของเบโธเฟนในท่อน “ฉากริมลำธาร” นั้นแท้จริงแล้วย่อมไม่เป็นสิ่งเดียวกับ “ฉากริมลำธาร” ในชีวิตจริงของมนุษย์
เพราะสำหรับเขาแล้ว เสียงเพลงของเบโธเฟนนั้น
“วาดภาพโลกเราไม่ใช่แบบอย่างที่เป็นจริง แต่ในแบบที่มันควรจะเป็น” ต่างหาก
เพลงรำลึกบาป
นิยายขนาดสั้นของ Andre Gide เรื่อง La Symphonie Pastorale ถูกเขียนขึ้นในปี 1919 ในรูปแบบบันทึกของบาทหลวงรูปหนึ่ง ซึ่งเก็บเด็กสาวจรจัดตาบอดนามแชร์ทรู้ดมาเลี้ยงและสั่งสอนให้รู้หนังสือและกิริยามารยาทแบบคนเมือง
บาทหลวงหลงรักเด็กหญิง แต่กลับไม่ตระหนักถึงความรักของตน (ในที่นี้ ผู้ที่ตาบอดจึงเป็นบาทหลวง ไม่ใช่เด็กสาว) เขาพยายามบอกเล่าถึงโลกที่สวยงามให้เด็กสาวตาบอดฟัง ทั้งที่นั่นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
บาทหลวงพาเด็กสาวไปฟังการแสดงคอนเสิร์ตเพลง Symphony No. 6 หรือ Pastoral Symphony ของเบโธเฟน และพยายามนำความไพเราะของเสียงดนตรีมาเปรียบเทียบกับเรื่องของภาพที่เห็น เช่น เขาพยายามเปรียบเทียบเสียงของเครื่องเป่าบางชนิดด้วยสีแดงหรือสีส้ม และเปรียบเทียบเสียงของไวโอลินว่าเป็นเหมือนสีเขียว
แต่สุดท้ายเมื่อหญิงสาวถามว่าสีขาวนั้นเปรียบได้กับเสียงอะไร? เขาก็ต้องเผชิญกับข้อจำกัดในความเป็นจริงว่า เสียงและสีนั้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้โดยสิ้นเชิง
และในทัศนะของเขา ภาพที่คนเราเห็นนั้นยังเต็มไปด้วยความบาป ขณะที่ความตาบอดของเด็กสาว กลับเป็นสิ่งที่ทำให้เธอเป็นผู้บริสุทธิ์ไร้เดียงสาอย่างที่สุด
และเสียงดนตรีของเบโธเฟนก็หมายความถึงโลกสมบูรณ์แบบในอุดมคติ ที่เราไม่อาจพบเห็นได้ด้วยตาเนื้อ ดังข้อความตอนหนึ่งในนิยายว่า :
วันนั้นคอนเสิร์ตแสดงชุดแซมโฟนีปาสโตราลพอเหมาะพอดี ข้าพเจ้าใช้คำว่า “พอดี” เนื่องจากว่าไม่มีงานดนตรีชิ้นใดที่ข้าพเจ้าอยากจะให้หล่อนได้ฟังมากไปกว่างานดนตรีชิ้นนี้ซึ่งก็คงจะเป็นที่เข้าใจกัน ถึงเราจะจากห้องแสดงคอนเสิร์ตมาตั้งนานแล้ว แชร์ทรู้ดก็ยังคงนิ่งเงียบเหมือนตกอยู่ในห้วงนึกฝันอันบรรเจิด
“สิ่งที่อาจารย์มองเห็นมันงามอย่างนี้จริงๆ หรือคะ” หล่อนกล่าวขึ้นในที่สุด
“งามพอๆ กับอะไรเล่า หนูที่รักของฉัน?”
“พอๆ กับ “ฉากริมลำธาร” ไงล่ะคะ”
ข้าพเจ้าไม่ได้ตอบหล่อนทันที เนื่องจากมัวแต่คิดตริตรองถึงความบรรสานกลมกลืนกันอย่างที่เหลือจะบรรยายได้ ซึ่งวาดภาพโลกเราไม่ใช่แบบอย่างที่เป็นจริง แต่ในแบบที่มันควรจะเป็น คือแบบที่ปราศจากความชั่วร้ายและปราศจากบาปทั้งปวง ก็ในเมื่อข้าพเจ้ายังไม่กล้าพูดกับแชร์ทรู้ดถึงเรื่องความชั่วร้าย เรื่องบาป เรื่องความตายเลย
(จาก เพลงรำลึกบาป หรือ La Symphonie Pastorale (1909) ของ อองเดร ฌีด แปลโดย อำพรรณ โอตระกูล สำนักพิมพ์ต้นหมาก พ.ศ.2526)