กาละแมร์ พัชรศรี : ในความผัวเมีย

พอบอกไปครั้งก่อนและยังประกาศไปในเฟซบุ๊กของตัวเองว่า…

“เราไม่อยากจะมีสามีแล้วววววว”

ก็เกิดแรงสั่นสะเทือน กระเพื่อมตามมามากมาย ทั้งจากคนรู้จักและไม่รู้จัก

เพื่อนก็จะบอกว่า

“อ่าาาาา อย่างนี้แหละจะมีผัวแน่นอน”

“อีกไม่นานมาชัวร์ เขาจะมาตอนเราไม่อยากได้”

“ให้มาคุยกับคนเคยมีผัว จะรู้ลึกรู้จริง”

เอาแค่นี้ก่อน อีกหลายคอมเมนต์อย่าให้พูด

 

แต่สิ่งที่เล่าให้ฟัง ความรู้สึกที่บอกไปมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ฉันแค่รู้สึกว่าเรามีความสุขดีอยู่แล้วในทุกวันนี้ เราไม่ได้เหงา ไม่ได้เศร้า ไม่ได้รอคอยใคร เรามีความสุขที่เรารู้ว่าตัวเองมีได้โดยไม่ต้องรอจากใคร

หรือแม้ในวันที่เราเจอความทุกข์หรือมีเรื่องไม่สบายใจ เมื่อเรารู้ถึงธรรมะหรือรู้ทันความคิดของตัวเอง และมีวิธีการจัดการกับมัน เราก็จะผ่านมันไปได้

และอย่างที่บอกไป ชีวิตมันมีเป้าหมายที่จะทำเรื่องที่ต้องการ มันไม่เคว้ง ไม่ซึมไม่เซ็ง แค่นี้กรูก็จะทำไม่ทันอยู่แล้ว (นี่รวมถึงต้นฉบับด้วย ที่เขาต้องทวงทุกครั้ง ละอายใจอย่างที่สุด) ไม่ใช่แค่ทางโลก ทางธรรมอีก

มีเพื่อนบางคนเคยผ่านการแต่งงานมาแล้ว และตอนนี้โสด นางก็บอกว่าถ้าให้ชั่งน้ำหนัก นางก็ว่า มีคู่จะดีกว่า อย่างน้อยก็มีเพื่อนคู่คิด (ก็ฝากเงินกับแบงก์กรุงเทพสิจ๊ะ จะได้มีมิตรคู่บ้านไปด้วยเลย!!!)

ก็ถ้ามาแล้วเป็นเพื่อนคู่คิดก็ดีไป เกรงจะเป็นอริคอยขัดขวางน่ะสิ แถมหาเรื่องทะเลาะให้เราต้องปวดกบาลแก้ปัญหากับผัวก่อนที่จะไปทำเรื่องอื่นในชีวิต

ก็ไม่เถียงที่คู่ดีๆ เขาก็มี แต่ถามหน่อยว่าแลกมาด้วยอะไรบ้าง

ไม่นับบุญกรรมที่ทำกันมาแต่ชาติก่อน เอาชาตินี้แหละต้องแลกกับอะไรบ้างถึงอยู่กันดีๆ ได้

มีความเข้าใจ ยอมรับอีกฝ่าย ให้อภัยในเรื่องเล็กยันเรื่องใหญ่ ให้ความรัก ยอมเขาบ้าง เสียสละความสุขส่วนตัว อย่าพูดในทุกเรื่องที่คิด ปิดตาข้างเดียว รักครอบครัวเขาทั้งตระกูล (ก็ประมาณ 78 คนที่จะมาออกความเห็นในเรื่องครอบครัวเรา)

ยังไม่นับเรื่องเงินๆ ทองๆ เรื่องแบ่งเตียงนอน เรื่องแอร์หนาวๆ ร้อนๆ เรื่องจะนอนกี่โมง เรื่องไปเล่นกับเพื่อนบ่อยๆ ได้ไหม ไปปฏิบัติธรรมจะเข้าใจหรือเปล่า

อ้อ ที่สำคัญศีลเสมอกันไหม ทำมาหากินแบบมืออาชีพไหม รักความก้าวหน้าพอๆ กับการแบ่งปันผู้อื่นไหม มีอีคิวหรือเปล่านอกจากไอคิว

แล้วรักตัวเอง ดูแลตัวเองบ้างไหม หอบโรคมาพร้อมความขี้เกียจก็ไม่ไหว

อ่า แล้วยังไม่รู้เลยว่าโรคจิต ซาดิสต์หรือเปล่า

 

อ่านถึงตรงนี้ แน่ชัดกับฉันแล้วใช่ไหมว่า “อยู่เป็นโสดเหอะ!”

วันก่อนเพื่อนที่รู้จักกันเล่าว่า รู้สึกไม่ค่อยไม่มั่นคงกลัวเงินหมด

ซึ่งเพื่อนหลายคนที่เป็นมนุษย์เมีย มนุษย์แม่ก็พยักหน้าหงึกหงัก คือมีความรู้สึกครอบครัวเราเงินจะไม่พอ แล้วนอยด์มาก ปลุกผัวที่กำลังจะหลับให้ตื่นมาคุยกันเรื่องนี้

ซึ่งแน่นอนว่าผัวก็เซ็งมาก จะหลับๆ โดนปลุกตลอด และไม่ใช่ว่าเขาไม่ทำมาหากิน ไม่ใช่ว่าเงินที่บ้านไม่มี ตอนนี้มีมากกว่าทั้งชีวิตจะมีมาด้วยซ้ำ แต่ผู้หญิงก็จะกังวล เพราะต้องดูแลทุกคนในบ้านให้ดี

นางบอกโดนผัวด่าเลย บอกว่า

“นี่รู้ไหม กำลังจะได้โปรเจ็กต์ใหญ่ กำลังจะขยายกิจการ จะก้าวไปข้างหน้า แต่เจอปลุกมาทะเลาะกลางดึกบ่อยๆ นี่หมดกำลังใจนะ จะไปๆ ก็มีคนมาฉุดให้ถอยตลอด ที่สำคัญเงินที่หามาได้ก็อยู่ที่เธอทั้งหมด จะเอาอะไรอีก ที่ให้ไปทั้งหมดไม่คิดซาบซึ้ง ดีใจอะไรบ้างเหรอ นี่ยังทำดีไม่พออีกเหรอ”

เออ เมียก็อึ้งไปเหมือนกันนะ ได้คิดบ้าง เพราะก่อนหน้านี้ก็มีวี้ดๆๆ อาละวาด ผัวบอกว่า “เออ เงินและทรัพย์สินที่เคยโอนให้เป็นร้อยล้านน่ะ โอนกลับมาด้วยนะ จะได้รู้ซึ้งว่าเวลาไม่มีจริงๆ มันเป็นอย่างไร แล้วเวลามีควรดีใจแค่ไหน”

คือประมาณว่าผัวก็เหนื่อยนะ ชีวิตนี้กรูก็มีแต่งานแล้วก็ครอบครัว จะเอาอะไรกะกรูอีกกกกกก

เข้าใจแล้วนะคะ

ที่ตัดสินใจใช้ชีวิตแบบ โสด สุข สวย และรวยโคตร!!!!