สุรชาติ บำรุงสุข : หกตุลารำลึก – รัฐและสงครามปฏิวัติไทย

ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข

หกตุลารำลึก (2) รัฐและสงครามปฏิวัติไทย

“สงครามใดๆ ที่เป็นธรรมและปฏิวัติ พลังของมันนั้นใหญ่ยิ่งนัก” ประธานเหมาเจ๋อตุง

หากพิจารณาจากมุมมองเปรียบเทียบแล้ว เราอาจกล่าวได้ว่ารัฐประหาร 6 ตุลาคม 2519 นำพารัฐบาล “ขวาจัด” ก้าวสู่อำนาจ

รัฐประหาร 20 ตุลาคม 2520 ก็พา “ขวาปฏิรูป” ขึ้นเป็นรัฐบาล

รัฐบาลฝ่ายขวาทั้งสองมีทิศทางการเมืองที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง

ในขณะที่รัฐบาลขวาจัดต้องการกวาดล้างจับกุม “ฝ่ายซ้าย” อันมีนัยที่หมายถึงผู้ที่มีความคิดทางการเมืองที่เอียงไปทางสังคมนิยม

แต่รัฐบาลขวาปฏิรูปกลับพยายามแสวงหาแนวทางใหม่ในการเอาชนะพวกฝ่ายซ้าย

ในที่สุดแล้วรัฐบาลทหารหลังรัฐประหาร 2520 ได้ตัดสินใจครั้งใหญ่ ในการกำหนดทิศทางการเมืองที่ถอยประเทศออกจากการครอบงำของนโยบายแบบขวาจัด นิรโทษกรรมคดี 6 ตุลาคม 2519 ในเดือนกันยายน 2521 เป็นจุดเริ่มต้นที่บ่งบอกถึงการกำเนิดของ “นโยบายใหม่” ที่ทิศทางการต่อสู้ของฝ่ายรัฐจะไม่ใช้มาตราการแบบขวาจัด ที่เน้นอยู่กับ “การกวาดล้างจับกุม” ในเมือง พร้อมกับ “การค้นหาและทำลาย” ในชนบท

ซึ่งวิธีการเดิมเช่นนี้กำลังถูกท้าทายอย่างมากหลังจากความพ่ายแพ้ของรัฐอินโดจีนทั้งสาม

และเห็นได้ชัดว่าหลังจากการล้อมปราบครั้งใหญ่ในวันที่ 6 ตุลาคม สงครามปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์ขยายตัวมากขึ้นในชนบทไทยอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน…

จากปลายปี 2519 ต่อเข้าปี 2520 มีผู้คนเดินทางเข้าสู่ชนบทประกาศร่วมการต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธกับพรรคคอมมิวนิสต์อย่างต่อเนื่อง

ปิดคดี-ปรับนโยบาย

ภายใต้แรงกดดันของสงครามคอมมิวนิสต์ที่ขยายตัวมากขึ้นในชนบทนั้น การปรับนโยบายใหม่กลายเป็นความจำเป็นในตัวเอง

บทเรียนสำคัญจากความพ่ายแพ้ในอินโดจีนคือ ยิ่งขวา…ยิ่งแพ้ ขวามากเท่าใด…ก็แพ้มากเท่านั้น

การปรับนโยบายใหม่จึงเริ่มต้นด้วยนิรโทษกรรม

และจำเป็นต้องทำแบบ “เหมาเข่ง” คือนิรโทษแบบที่ครอบคลุมทุกฝ่าย

แม้ผู้ที่เกี่ยวข้องในหลายส่วนอาจจะรู้สึกรับไม่ได้ ผู้ที่ไม่เห็นด้วยในปีกซ้ายมองว่า นิรโทษกรรมดังกล่าวเป็นดังการปิดคดีแบบที่ไม่มีโอกาสที่จะรื้อฟื้นคดีกลับเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้อีก

ผู้ที่ไม่เห็นด้วยในปีกขวาเห็นว่าเป็นการดำเนินการที่อ่อนแอ และอาจทำให้นักเคลื่อนไหวฝ่ายซ้ายได้ใจและนำไปสู่การเคลื่อนไหวในเมือง

แต่นิรโทษกรรมครั้งนี้คือการ “ปิดคดี” ในตัวเองในทางกฎหมาย แต่ในทางการเมืองแล้ว สิ่งนี้คือการส่งสัญญาณถึงการปรับนโยบายของรัฐไทย

ดังนั้น หากมองจากบริบทสงครามของรัฐไทยแล้ว นิรโทษกรรมคือจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการปรับยุทธศาสตร์ในการต่อสู้กับสงครามคอมมิวนิสต์ของรัฐบาล พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ อันเป็นการเผชิญหน้ากับสงครามที่มีความท้าทายอย่างมาก

ความพ่ายแพ้ของรัฐบาลนิยมตะวันตกในอินโดจีนในปี 2518 เป็นรูปธรรมของชัยชนะของพรรคคอมมิวนิสต์

และเป็นคำตอบอย่างมีนัยสำคัญกับรัฐไทยว่า หากดำเนินยุทธศาสตร์ผิดพลาดแล้ว ความพ่ายแพ้ของรัฐบาลนิยมตะวันตกที่กรุงเทพฯ จะเกิดซ้ำรอยกับการล้มลงของรัฐบาลอินโดจีนทั้งสามประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

และเป็นไปตามคำเตือนของซุนวูว่า “สงครามเป็นเรื่องที่เป็นความเป็นความตายของรัฐ” เสมอ… ถ้าชนะ รัฐรอด ถ้าแพ้ รัฐตาย!

แน่นอนว่าสัจธรรมแห่งสงครามชุดนี้โหดร้ายและตรงไปตรงมา และมีการพังทลายของรัฐบาลในอินโดจีนเป็นประจักษ์พยานที่ชัดเจนให้ผู้นำทหารไทยได้ใคร่ครวญ

โดมิโนล้มแล้วในอินโดจีน!

หลังการล้อมปราบในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 แล้ว สงครามปฏิวัติดำเนินไปอย่างคึกคัก และขยายตัวอย่างกว้างขวาง

จนนักสังเกตการณ์หลายคนเฝ้ามองสงครามคอมมิวนิสต์ในไทยด้วยความเป็นห่วงว่า

สงครามนี้อาจจะจบลงเช่นในอินโดจีน

สภาวะเช่นนี้ทำให้หลายๆ คนหวนคิดถึงคำอธิบายในช่วงต้นสงครามเย็นของผู้นำสหรัฐ โดยการเปรียบการพ่ายแพ้สงครามคอมมิวนิสต์เป็นดังการล้มตามกันของเกม “โดมิโน” (the falling domino)

คำอธิบายนี้ถูกสร้างให้เป็นดังทฤษฎี (The Domino Theory) และปรากฏตัวทางความคิดครั้งแรกในสภาความมั่นคงแห่งชาติ (NSC) ของสหรัฐในเดือนกุมภาพันธ์ 2493

ต่อมาประธานาธิบดีไอเซนฮาวร์ในเดือนเมษายน 2497 ได้กล่าวตอกย้ำว่า ถ้าประเทศหนึ่งประเทศใดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นคอมมิวนิสต์แล้ว ก็จะส่งผลให้ประเทศในภูมิภาคเป็นคอมมิวนิสต์ตามกันไป

เสมือนกับการล้มลงของตัวโดมิโน ที่เป็นของเล่นที่เด็กๆ ในสังคมตะวันตกที่นำมาเรียงต่อและผลักให้ “ล้มลงตามกัน”

ประเด็นสำคัญของการอธิบายในเชิงภาพพจน์ก็คือ การล้มลงตามกัน

การเปรียบเชิงภาพพจน์เช่นนี้มีความเป็นรูปธรรมในการทำความเข้าใจอย่างมากว่า ถ้าประเทศหนึ่งประเทศใดในภูมิภาคเป็นคอมมิวนิสต์แล้ว ประเทศอื่นในภูมิภาคก็จะกลายเป็นคอมมิวนิสต์ตามกันไป

ชุดของคำอธิบายเช่นนี้มีพลังอย่างมาก เพราะเป็นวาทกรรมที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อกระบวนการการกำหนดนโยบายความมั่นคงของสหรัฐ

และในถ้อยแถลงต่อมาของประธานาธิบดีไอเซนฮาวร์ในปี 2497 ได้ขยายคำอธิบายว่า หากประเทศหนึ่งประเทศใดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นคอมมิวนิสต์แล้ว ก็ทำให้ภูมิภาคนี้ทั้งหมดเป็นคอมมิวนิสต์

อีกทั้งจะทำให้ทั้งอินเดียและญี่ปุ่นกลายเป็นคอมมิวนิสต์ตามไปด้วย และสุดท้ายภัยคุกคามของลัทธิคอมมิวนิสต์ก็จะมุ่งหน้าสู่ยุโรป

วาทกรรมนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลทางความคิดอย่างมากต่อผู้นำในโลกตะวันตกให้หวาดกลัวต่อการขยายตัวของสงครามคอมมิวนิสต์เท่านั้น

หากแต่ยังมีผลอย่างมากกับบรรดาผู้นำในเอเชียที่ต้องเผชิญกับปัญหาคอมมิวนิสต์ในบ้านของตนเอง อันส่งผลให้การต่อสู้กับการขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์ในฐานะของ “สงครามภายใน” ของประเทศเหล่านี้เป็นโจทย์ความมั่นคงที่สำคัญในยุคสงครามเย็น

และอธิบายอย่างให้เห็นภาพพจน์ว่า การล้มลงของประเทศใดก็ตามจะส่งผลต่อประเทศข้างเคียงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คือเป็นคอมมิวนิสต์ตามกัน หรืออาการล้มลงตามกันนั่นเอง

ทฤษฎีโดมิโนเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งในการพาสหรัฐเข้าสู่สงครามเวียดนาม

โดยผู้นำสหรัฐตัดสินใจเข้าแบกรับภาระด้านความมั่นคงแทนฝรั่งเศส

และเมื่อเวียดนามถูกแบ่งออกเป็นเหนือและใต้ในปี 2498 แล้ว สหรัฐได้ให้การสนับสนุนอย่างเข้มแข็งต่อรัฐบาลเวียดนามใต้ในขณะนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ “โดมิโน” เริ่มล้มลงเป็นจุดแรกในเวียดนาม

แต่กระนั้นโดมิโนก็ล้มลงทั้งสามตัวในอินโดจีนในปี 2518

และเป็นการล้มที่ส่งผลสะเทือนทางจิตวิทยาอย่างมากกับผู้นำไทย เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในอินโดจีนกำลังบอกถึงการล้มลงจริงๆ ที่ไม่ใช่เพียงการล้มตามคำอธิบายในทางทฤษฎี

โดมิโนไทยจะล้มหรือไม่?

ถ้าไทยแพ้สงครามคอมมิวนิสต์ เราจะเป็น “โดมิโนตัวที่สี่” ของการล้มตามกันที่เกิดขึ้นหลังจากการล้มของโดมิโนทั้งสามตัว

หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็จะเป็นการพิสูจน์ถึงความถูกต้องของ “ทฤษฎีโดมิโน” ที่ผู้นำของรัฐบาลอเมริกันได้สร้างขึ้น

แม้ทฤษฎีจะถูกวิจารณ์ว่าเป็นการสร้างวาทกรรมแห่งความกลัวของยุคสงครามเย็น

แต่อย่างน้อยการล้มลงของโดมิโนในปี 2518 ได้สร้างความกังวลอย่างมากว่า นับจากนี้โดมิโนน่าจะล้มที่ไทยหรือไม่

หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า ทฤษฎีนี้กำลังถูกพิสูจน์ด้วยความท้าทายกับ “ความอยู่รอด” ของรัฐไทย

สมมติถ้าโดมิโนตัวที่สี่ล้มลงจริงตามการคาดการณ์ทางทฤษฎีแล้ว ก็ตอบได้ทันทีด้วยเงื่อนไขทางภูมิรัฐศาสตร์ว่า สงครามคอมมิวนิสต์ชุดใหม่จะเคลื่อนตัวเข้าสู่คาบสมุทรมลายาอีกครั้ง

หลังจากชัยชนะที่อังกฤษสามารถควบคุมสงครามชุดนี้ได้มาแล้ว ในเหตุการณ์ที่เรียกว่า “ภาวะฉุกเฉินในมลายา” ซึ่งเรื่มขึ้นในเดือนมิถุนายน 2491 (เหตุการณ์ชุดนี้จบลงในปี 2503) และน่าคิดอย่างมากว่า ถ้าเป็นไปในทิศทางเช่นนี้แล้ว ความสำเร็จของอังกฤษเช่นในอดีตจะเป็นความสำเร็จของรัฐบาลมาเลเซียหรือไม่

เพราะหากโดมิโนล้มที่กรุงเทพฯ จริงแล้ว โมเมนตัมของสงครามคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคจะทวีแรงขับเคลื่อนอย่างมาก

และแน่นอนว่าเราคงเห็นการเติบโตของพรรคคอมมิวนิสต์มลายาที่เป็นพรรคเก่าแก่ในภูมิภาคนี้อีกครั้ง

และคาดเดาต่อได้ว่าสงครามปฏิวัติจะขยายตัวเข้าสู่พื้นที่ของพม่าอย่างแน่นอน

และอาจทำให้เราเห็นบทบาทของพรรคคอมมิวนิสต์พม่าเช่นกันด้วย

จนเราอาจคาดคะเนทิศทางการสงครามได้ว่า ถ้าโดมิโนล้มต่อเป็นครั้งที่สี่ในไทยแล้ว ก็อาจนำไปสู่สงครามคอมมิวนิสต์ในระดับภูมิภาคได้แน่นอน

แต่สงครามไม่ได้เคลื่อนตัวไปในทิศทางตามความต้องการทางอัตวิสัยของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

สงครามเคลื่อนไหวไปตามสภาวะที่เป็นจริงของสถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นต่างหาก

ภายใต้สถานการณ์แรงกดดันของสงครามคอมมิวนิสต์ทำให้ทหารบางส่วนเริ่มมีมุมมองที่ต่างออกไปจากผู้นำทหารแบบเก่า

พวกเขาเริ่มยอมรับว่าจินตนาการและวิสัยทัศน์เดิมไม่เพียงพอที่เอาชนะสงครามในขณะนั้นได้

ด้านหนึ่งพวกเขาเห็น “พลังประชาชน” จากความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 แต่ก็หวาดกลัวพลังเช่นนั้น จนต้องทำลายด้วยความรุนแรงในวันที่ 6 ตุลาคม 2519

การทำลายล้างในวันที่ 6 ตุลาคม กลับเป็นผลลบต่อสถานการณ์สงครามภายในของรัฐไทยโดยตรง

สงครามคอมมิวนิสต์ไทยหากเปรียบเทียบกับสงครามในประเทศเพื่อนบ้านแล้ว ไม่ใช่สงครามใหญ่และไม่มีลักษณะของการขยายตัว

แต่หลังเหตุการณ์ปี 2519 สงครามกลับมีแนวโน้มที่น่ากลัว และทำท่าจะไปในทิศทางเดียวกับสงครามที่ฝ่ายรัฐบาลนิยมตะวันตกพ่ายแพ้มาแล้วในอินโดจีน

สภาวะสงครามเช่นนี้จึงเป็นแรงกดดันอย่างมากต่อชนชั้นนำและผู้นำทหารของไทย นโยบายและยุทธศาสตร์เก่าที่ใช้ “การทหารนำการเมือง” และดำเนินการด้วยเข็มมุ่งหลักสองประการคือ “ค้นหาและทำลาย” ในชนบท และ “กวาดล้างจับกุม” ในเมือง

ด้วยความหวังว่าเข็มมุ่งสองประการนี้จะนำรัฐไทยไปสู่ชนะ

แต่ผลพวงจากเหตุการณ์ปี 2519 กลับส่งสัญญาณถึงทิศทางตรงข้าม

นโยบายและยุทธศาสตร์เก่ากำลังเป็นปัจจัยหลักของความพ่ายแพ้ และชัยชนะของสงครามเช่นเดียวกันนี้กำลังเดินทางมาเคาะประตูหน้าบ้านของไทย…

ชนบทกำลังล้อมเมืองจริงๆ แล้ว ไม่ใช่แค่เรื่องของคำพูด

สงครามของพรรคพี่น้อง

ในขณะที่สงครามภายในของไทยกำลังทวีความเข้มข้นมากขึ้น สถานการณ์สงครามอีกชุดหนึ่งก็ก่อตัวขึ้นคู่ขนานกัน และกลายเป็นปัญหาทางทฤษฎีให้ต้องขบคิด เป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีสงครามระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์ด้วยกันเอง?

สงครามระหว่างพรรคพี่น้องจะเกิดขึ้นได้อย่างไรเล่า เมื่อต่างร่วมกันต่อสู้ในสงครามต่อต้านจักรวรรดินิยม… ต่างหนุนช่วยต่อกันมา จนได้รับชัยชนะในปี 2518

แต่ในที่สุดแล้วสงครามระหว่างพรรคพี่น้องก็เกิดขึ้นจากการบุกกัมพูชาของเวียดนามในตอนต้นปี 2522

แน่นอนว่าปมความขัดแย้งและขยายตัวจนเป็นสงครามเช่นนี้จึงไม่อาจตอบได้ด้วยทฤษฎีของลัทธิสังคมนิยม หรือว่าทฤษฎีปฏิวัติที่เคยถูกสร้างให้เป็นภาพอย่างสวยหรู เริ่มบ่งบอกถึงความไม่เป็นจริง

ความขัดแย้งระหว่างเวียดนามและกัมพูชาเกิดขึ้นมาตั้งแต่หลังจากความสำเร็จของการปฏิวัติ มีการปะทะทางบกและทางทะเลมาตลอดระหว่างปี 2518 จนถึงปี 2521

จนในที่สุดเวียดนามตัดสินใจเปิดสงครามเต็มรูปแบบในวันที่ 25 ธันวาคม 2521 อันนำไปสู่การล้มรัฐบาลเขมรแดง สงครามและการยึดครองกัมพูชากลายเป็น “ปัจจัยใหม่” ทั้งกับสงครามปฏิวัติไทยและปัญหาความมั่นคงแห่งชาติไทยพร้อมกัน และในวันที่ 8 มกราคม 2522 รัฐบาลนิยมเวียดนามก็ถูกจัดตั้งขึ้นที่พนมเปญ

รัฐบาลของ พล.อ.เกรียงศักดิ์หลังจากต้นปี 2522 จึงต้องพยายามอย่างมากในการปรับยุทธศาสตร์และนโยบายในการต่อสู้กับสงครามทั้งจากภายนอกและภายใน กล่าวคือ รัฐไทยต้องเผชิญกับสงครามภายนอกจากเวียดนาม

และขณะเดียวกันก็ต้องเผชิญกับสงครามภายในที่ขยายตัวอย่างมากหลังตุลาคม 2519 สงครามในภาวะเช่นนี้ท้าทายรัฐบาลเกรียงศักดิ์อย่างไร ก็ท้าทายคนเดือนตุลาที่เข้าร่วมในสงครามปฏิวัติไม่แตกต่างกัน

สำหรับคนเดือนตุลาแล้ว โลกกำลังพลิกไปอย่างคาดไม่ถึง

เราจะตอบคำถามทางทฤษฎีอย่างไรกับสงครามระหว่างพรรค

ทั้งสองพรรคต่างมีส่วนหนุนช่วยสงครามปฏิวัติไทย

ถ้าเช่นนั้นเราควรจะเลือกยืนอย่างไร

อีกทั้งหากรัฐบาลไทยตัดสินใจเลือกอย่างไรในความขัดแย้งนี้ ผลที่เกิดขึ้นจะกระทบการปฏิวัติไทยหรือไม่

แน่นอนว่า สำหรับนักปฏิวัติในเดือนตุลาแล้ว เราตอบคำถามเหล่านี้ได้น้อยมาก และขณะเดียวกันก็นึกไม่ออกว่าอะไรจะเกิดขึ้น และนึกไม่ถึงว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นจะกระทบกับชีวิตของพวกเราอย่างใหญ่หลวงในเวลาต่อมา

และเราก็ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจกับสิ่งเหล่านี้ด้วย!