การระลึกชาติได้ มีจริงหรือ ?

การระลึกชาติได้

ข้อยืนยันการตายเกิดต่อไปอีก การระลึกชาติได้ของคนบางคนเคยได้ยินข่าวไหม มีการระลึกชาติได้ มีคนระลึกชาติได้ มีฝรั่ง 2 คน ชื่อ ดร.เอียน สตีเวนสัน กับ ดร.ฟรานซิส สโตรี่ สองคนนี้สนใจเรื่องการระลึกชาติ

พอได้ข่าวว่ามีคนระลึกชาติได้ที่ไหนในโลกนี้ ตามไปสัมภาษณ์ ตามไปเก็บข้อมูล แล้วรวมพิมพ์เป็นหนังสือ กับกรณีคนที่ระลึกชาติได้ทั่วโลกถ้าใครสนใจก็ไปอ่านเอา เรื่องนี้เป็นปรากฏการณ์จริงที่เกิดขึ้น มีคนพิสูจน์ไว้แล้ว

การระลึกชาติได้ก็มียู่ 3 สาเหตุ

1. ระลึกได้เองตั้งแต่เกิด อยู่ๆ ก็ระลึกได้เอง

2. ถูกสะกดจิตให้ระลึกย้อนหลังอันนี้สามารถทำได้ นักสะกดจิตที่เก่งๆ สามารถสะกดจิตคนให้นึกถึงเรื่องราวในชาติก่อนได้

3. ระลึกได้ด้วยปุพเพนิวาสานุสติญาณ อันนี้ต้องผ่านการฝึกสมาธิ

การระลึกชาติได้ทั้ง 3 แบบ แบบที่ 1 แบบที่ 2 ไม่แน่นอน โดยเฉพาะแบบที่ 1 ระลึกได้เองตั้งแต่เกิด มักจะเป็นชาติต่อชาติ ระลึกย้อนหลังไกลๆ ไม่ได้ คือ หมายความว่า ตายจากชาตินี้ไปเกิดใหม่ระลึกได้ อาจเป็นเพราะว่าสภาพจิตยังไม่กระทบกระเทือนมาก ยังเก็บความจำไว้ได้อยู่

แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า พวกนี้พอโตมาก็จะลืม

ประเภทที่ 2 คือถูกสะกดจิตนั้น ไม่สามารถทำให้ระลึกได้ยาว อย่างเก่งก็ระลึกชาติได้ชาติเดียว แล้วก็อาจจะทำได้ไม่ดีด้วย

ที่แน่นอนที่สุดคือ ระลึกได้ด้วยวิธีการฝึกสมาธิ ถ้าผ่านการฝึกสมาธิจนกระทั่งได้ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ก็สามารถระลึกชาติได้

การระลึกชาติได้ก็เป็นเครื่องยืนยันอย่างหนึ่งว่า คนเรามีการตายเกิดจริง

ความมีอยู่แห่งชาติก่อนชาติหน้า นรก สวรรค์

ประเด็นต่อไปคือ ยังไม่มีใครพิสูจน์ว่าชาติหน้าไม่มี ชาติก่อนไม่มี ยังไม่มีใครพิสูจน์

มีแต่คนยืนยันว่าชาติก่อนมี ชาติหน้ามี นรกสวรรค์มี

ถามว่ายืนยันที่ไหน

ยืนยันในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าตรัสไว้มากมายในพระไตรปิฎก

เรื่องนรก เรื่องสวรรค์ ก็ตรัสไว้มากมาย

ยืนยันหนักแน่นว่ามีสิ่งเหล่านี้

ปัญญาชนไม่ควรรีบรับหรือรีบปฏิเสธ

จากการที่พูดมาทั้งหมดนี้ ต้องการชี้ให้เห็นว่าทางพระพุทธศาสนาเชื่อในเรื่องกรรม เรื่องสังสารวัฏอย่างไร

เพราะฉะนั้น สิ่งที่อยากจะฝากพวกเราในที่นี้ก็คือว่า ในฐานะที่เป็นปัญญาชน (เขายกย่องให้เป็นอย่างนั้นเป็นหรือเปล่าก็ไม่รู้ พอเข้าอุดมศึกษาแล้ว “ฉันเป็นปัญญาชน” หนังสือไม่เคยอ่านสักเล่ม “ฉันเป็นปัญญาชน”)

ในฐานะที่เป็นปัญญาชน อย่ารับอะไรง่ายๆ อย่าปฏิเสธอะไรง่ายๆ ถ้ามองแบบพุทธต้องมองให้รอบด้าน มองให้ครอบคลุมที่สุด อย่ามองแง่เดียวมุมเดียว มองแง่เดียวมุมเดียว มีส่วนผิดได้มาก แม้เพียงเรื่องเล็กก็ผิดง่าย โดยเฉพาะเรื่องละเอียดลึกซึ้งอย่างเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดยิ่งจะต้องดูอย่างละเอียดทุกแง่ทุกมุม

นักศึกษาสมัยใหม่มักจะพูดเพราะคิดว่าพูดอย่างนี้ทำให้คนเป็นคนทันสมัย ให้เขาได้รับรู้ว่าตนเองเป็นคนทันสมัย ผมไม่เชื่อหรอกเรื่องนรกสวรรค์ เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ต่างๆ ผมไม่เชื่อ แต่พอซักเข้าแล้วก็จน

ถามว่า “ไม่เชื่อเพราะอะไร”

“พิสูจน์ไม่ได้”

“แล้วคุณเชื่ออะไร”

“เชื่อวิทยาศาสตร์” รู้สึกว่าโก้นะ ที่พูดว่าวิทยาศาสตร์ขึ้นมารู้สึกมันภูมิใจ “ผมเชื่อวิทยาศาสตร์”

ถาม “ทำไม”

“มันพิสูจน์ได้” คือไม่เชื่อนรกสวรรค์เพราะพิสูจน์ไม่ได้ เชื่อวิทยาศาสตร์เพราะพิสูจน์ได้

พอถามเข้าไปอีกว่า “ไม่ใช่ ผมไม่ได้พิสูจน์”

“อ้าว ถ้าคุณเชื่อวิทยาศาสตร์เพราะเหตุเพียงว่าคุณก็ไม่ได้พิสูจน์ คุณก็น่าจะเชื่อพระพุทธศาสตร์เพราะเหตุเพียงคุณก็ไม่ได้พิสูจน์เหมือนกัน ไม่เห็นมีอะไรแตกต่าง”

เขาก็บอกว่า “วิทยาศาสตร์มันพิสูจน์ได้”

“อ้าว พระพุทธศาสตร์ก็พิสูจน์ได้ เรื่องนรกสวรรค์ก็พิสูจน์ได้”

ถามว่า “ใครพิสูจน์”

“ก็พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย ไปดูซิ เดี๋ยวจะหยิบมาให้ดูเดี๋ยวนี้ หลักฐานบันทึกไว้เช่นเดียวกับวิทยาศาสตร์ที่เขาค้นพบกฎวิทยาศาสตร์ต่างๆ เขาก็เขียนเป็นทฤษฎีไว้ มีหลักฐาน พระพุทธเจ้าก็เขียนไว้ในพระไตรปิฎก”

พอพูดอย่างนี้ก็จน ไม่มีปัญญาเถียง

เรื่องเกี่ยวกับปาฏิหาริย์

เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ก็เหมือนกัน ความจริงไม่ได้เป็นเรื่องลึกลับอะไร

แต่ทำไมคนสนใจมาก และก็ไม่ค่อยเข้าใจด้วย

เรื่องอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องลึกลับ ปาฏิหาริย์ กับพระพุทธศาสนาท่านพูดไว้ชัดเจน ต้องจำไว้ด้วย

พระพุทธศาสนา ไม่ได้ปฏิเสธอิทธิปาฏิหาริย์นั้น เป็นสิ่งที่เราจะต้องใส่ใจ

ปาฏิหาริย์ในทางพุทธศาสนา

ในทางพุทธศาสนาถือว่าปาฏิหาริย์มีหลายอย่าง

1. อิทธิปาฏิหาริย์ แสดงฤทธิ์เดชได้ เหาะเหินเดินอากาศ คนเดียวเนรมิตเป็นหลายคนได้ เดินบนน้ำ บนอากาศ

อะไรต่างๆ ได้ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เหลือวิสัย ทำได้ พระพุทธศาสนาก็ยอมรับว่ามีจริง ทำได้จริง

ปาฏิหาริย์คือทำอะไรในสิ่งที่คนธรรมดาทำไม่ได้ ปาฏิหาริย์ทางกายภาพ ถ้าคุณไม่ฝึกฝน คุณก็ไม่สามารถที่จะทำได้ เช่น นักกายกรรม เขาทำในสิ่งที่เราทำไม่ได้นั้นแหละคือปาฏิหาริย์ ทางกายภาพที่มองเห็นทางด้านจิตก็เหมือนกัน คุณฝึกจิตถึงที่สุดคุณก็สามารถรู้เห็นอะไรได้ บังคับอะไรต่ออะไรได้ พุทธศาสนายอมรับว่าอิทธิปาฏิหาริย์มีจริง นี่เป็นปาฏิหาริย์ ประเภทที่ 1

2. ทายใจคนอื่นได้ อ่านใจคนอื่นออก เช่น คุณคิดอะไรผมทายได้ผมบอกได้ทันที อย่างนี้ก็เป็นปาฏิหาริย์อย่างหนึ่ง

3. การสอนเป็นอัศจรรย์ คือ การที่คุณสามารถสอนให้คนได้ซาบซึ้งตระหนักในคุณ ในโทษ แล้วก็เลิกละความชั่วทำความดี อันเป็นปาฏิหาริย์อย่างหนึ่งที่สอนคนให้เกิดผลจริง พระพุทธเจ้าเรียกว่า อนุสาสนีปาฏิหาริย์ พระพุทธเจ้าก็บอกว่าปาฏิหาริย์อย่างที่หนึ่งกับอย่างที่สองนั้นไม่สำคัญหรอก สู้อย่างที่สามไม่ได้

อย่างที่สามที่เราไม่คิดว่าเป็นปาฏิหาริย์นี้แหละเป็นปาฏิหาริย์

ปาฏิหาริย์ที่ควรสรรเสริญ

พระพุทธศาสนาสรรเสริญเฉพาะปาฏิหาริย์อย่างที่สาม คือสอนคนชั่วให้กลายเป็นคนดีได้ โจรองคุลิมาลไล่ตามพระพุทธเจ้า ตะโกนก้อง “หยุดสมณะ หยุด” พระองค์ทรงสอนให้เขาวางดาบ กลับใจเลิกละความชั่ว

ใครทำอย่างนี้ถือว่าเป็นปาฏิหาริย์อย่างแท้จริง

และเป็นปาฏิหาริย์ที่พระพุทธเจ้าสรรเสริญ

ปาฏิหาริย์ต้องห้าม

เพราะฉะนั้น อิทธิปาฏิหาริย์เป็นเรื่องที่ทำได้ แต่พระพุทธเจ้าไม่ให้ถือเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะว่าไม่ใช่ทางนำไปสู่การดับทุกข์ บางทีอาจจะเป็นทางนำไปสู่การสร้างทุกข์ สร้างความพินาศฉิบหายให้แก่คนอื่นได้ เพราะฉะนั้น อิทธิปาฏิหาริย์ พระพุทธเจ้าจึงไม่สรรเสริญ และไม่อนุญาตให้พระแสดง

มีครั้งหนึ่ง เศรษฐีคนหนึ่งได้บาตรไม้จันทน์มาอย่างดี เอาไปแขวนไว้บนต้นไม้ แล้วประกาศทั่วเมืองว่า ในโลกนี้มีคนคุยว่ามีพระอรหันต์ อยากจะรู้ว่ามีจริงหรือไม่ ถ้าใครสามารถเหาะมาเอาบาตรนี้ได้ ข้าพเจ้าจะนับถือเป็นอาจารย์ ประกาศอยู่ตั้งหลายวัน ไม่มีใครทำได้

พระโมคคัลลานะกับพระปิณโฑละ ภารทวาชะ เดินไปบิณฑบาตได้ยินคนเขาโจษจันกันว่าไม่มีพระอรหันต์หรอกในโลกนี้ มีแต่คนคุยโม้ว่าเป็นพระอรหันต์ พอเศรษฐีทดสอบ 7 วันผ่านไปแล้วไม่เห็นมีใครมีความสามารถเหาะเหินไปเอาบาตรได้

พระเถระ 2 รูปก็หันมามองตากันและบอกว่า เขากำลังเข้าใจผิดว่า อิทธิปาฏิหาริย์ไม่มีใครสามารถทำได้ พระโมคคัลลานะก็เลยบอกพระปิณโฑละว่า “พระคุณเจ้าแสดงให้เขาดูซิ” พระปิณโฑละก็เลยเหาะไปเอาบาตร พอเหาะไปเอาบาตรเท่านั้น เศรษฐีก็ก้มลงกราบแทบเท้า กล่าวด้วยความดีใจว่ามีพระอรหันต์จริงๆ

ประชาชนก็พากันมามุงดู ส่งเสียงอื้ออึงติดตามพระปิณโฑละกลับไปเชตะวัน พระพุทธเจ้าได้ยินเสียงคนจ๊อกแจ๊กจอแจ ตรัสถามพระอานนท์ว่า ทำไมคนมากมายเหลือเกิน

พระอานนท์กราบทูลว่า “ตามพระปิณโฑละมา เพราะพระปิณโฑละเหาะไปเอาบาตรไม้จันทน์ของเศรษฐี แล้วประชาชนก็แตกตื่นตามกันมา”

พระพุทธเจ้ารับสั่งให้ประชุมสงฆ์ เรียกพระปิณโฑละมาถามว่า ที่เขาว่าเธอเหาะไปเอาบาตรของเศรษฐีนั้นจริงหรือ พระเถระก็กราบทูลว่าจริง

แทนที่พระพุทธเจ้าจะสรรเสริญ พระพุทธเจ้ากลับตำหนิใช้คำแรงว่า “โมฆบุรุษ” (แปลว่า บุรุษเปล่า) เธอแสดงอิทธิปาฏิหาริย์โดยไม่จำเป็น

ทีนี้ คำถามต่อมา ถ้าจำเป็นแสดงได้ไหม?

ได้ แต่ต้องพิจารณาดู พระพุทธเจ้าก็แสดงปาฏิหาริย์บางครั้ง บางครั้งก็สั่งให้พระโมคคัลลานะไปแสดงปาฏิหาริย์ เพื่อจะได้ไปโปรดสอนคน บางคนที่เขาเชื่อมั่นแต่ในเรื่องอิทธิฤทธิ์ เรื่องอื่นเขาไม่สนใจ จะสอนอย่างไรเขาไม่สนใจ แต่ถ้าแสดงอิทธิฤทธิ์เขาจะเชื่อ อย่างนี้พระพุทธเจ้าก็อนุญาตให้พระโมคคัลลานะไปแสดงเหมือนกัน แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ถ้าแสดงปาฏิหาริย์เพียงเพื่อผลของปาฏิหาริย์ พระพุทธเจ้าก็ไม่ให้ทำ

พูดง่ายๆ ว่า แสดงเพื่อให้เขารู้ว่าฉันนี่เก่งนะ ฉันเหาะได้นะ เพื่อจะอวดเขา ปาฏิหาริย์อย่างนี้ไม่อนุญาตให้ทำ

แต่ถ้าแสดงปาฏิหาริย์เพื่อเป็นบันได เป็นเครื่องมือชักจูงคนคนนั้นให้เข้าสู่ธรรมะ ท่านอนุญาต

ประเด็นนี้เป็นประเด็นของพระพุทธศาสนา เราจะแขวนพระเครื่องได้ แต่แขวนเพื่อเป็นสื่อสำหรับให้เรานึกถึงพระพุทธคุณ แล้วดำเนินตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน? ถ้าเป็นอย่างนั้นใช้ได้ แต่ถ้าแขวนพระเพียงเพื่อที่จะให้ขลัง ไปทำชั่วอะไรสารพัดอย่างให้เขาฟันไม่เข้า ยิงไม่เข้า อย่างนั้นมันผิดหลัก ไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง

รู้สึกว่าเวลาหมดแล้ว ก็ขอยุติเพียงเท่านี้