ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 12 - 18 ตุลาคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | อะไร(แม่ง)ก็เป็นศิลปะ |
ผู้เขียน | ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์ |
เผยแพร่ |
ในตอนที่แล้วเรากล่าวถึงศิลปินชั้นครูในอดีตของสเปนไปแล้ว ในตอนนี้เราเลยจะขอกล่าวถึงศิลปินสเปนอีกคนกันบ้าง
แต่ศิลปินคนที่ว่านี้ไม่ใช่ศิลปินในยุคอดีต หากแต่เป็นศิลปินร่วมสมัยที่มีผลงานโดดเด่นท้าทายโลกศิลปะเป็นอย่างมาก
ศิลปินผู้นั้นมีชื่อว่า
ซานติอาโก เซียร์ร่า (Santiago Sierra)
ศิลปินชาวสเปนผู้ทำงานศิลปะที่เป็นส่วนผสมของงานประติมากรรมสังคม (social sculpture) และประเด็นทางการเมือง ด้วยศิลปะการแสดงสดและศิลปะจัดวางสุดอื้อฉาว ที่กระตุ้นให้ผู้ชมสำรวจความเหลื่อมล้ำในสังคม
โดยเขามักจะว่าจ้างเหล่าบรรดาคนชายขอบและคนด้อยโอกาสทางสังคม ที่ตกเป็นเหยื่อและเบี้ยล่างในโลกทุนนิยมอย่างแรงงานพลัดถิ่น โสเภณี หรือผู้ลี้ภัย มาทำกิจกรรมต่างๆ ในพื้นที่แสดงงานศิลปะ
โครงการศิลปะของเขามักจะใช้บุคคลชายขอบที่ด้อยโอกาสเหล่านี้มาทำงานในฐานะแรงงานที่ประกอบกิจกรรมอันไร้ประโยชน์และน่าอดสู
ซึ่งถูกตีความว่าเป็นการวิพากษ์วิจารณ์สังคมแบบทุนนิยม
เขาเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในโลกศิลปะในฐานะศิลปินผู้ท้าทายความคิดเกี่ยวกับประเด็นความถูกต้องทางการเมือง (Political Correctness)
และสร้างความขุ่นเคืองให้แก่นักสิทธิมนุษยชนเป็นอย่างมาก
ที่เขาทำเช่นนี้ก็เพื่อเปิดโปงความเหลื่อมล้ำในสังคมด้วยแนวทางศิลปะที่พัฒนาจากศิลปะแบบมินิมอลและคอนเซ็ปช่วล จนกลายเป็นกิจกรรมทางศิลปะต่างๆ ศิลปะการแสดงสด, ประติมากรรม, ภาพถ่าย, วิดีโอ, ภาพยนตร์ และศิลปะจัดวาง
ไม่ว่าจะเป็นผลงาน 3 Cubes of 100 cm On Each Side Moved 700 cm (2002) ที่เขาจ้างแรงงานพลัดถิ่นให้ผลักแท่งซีเมนต์ขนาดใหญ่สามแท่งจากผนังหนึ่งไปสู่อีกผนังหนึ่งในห้องแสดงงานอย่างไร้ประโยชน์ เป็นเวลาหลายชั่วโมง
หรือผลงาน 160 cm Line Tattooed on 4 People El Gallo Arte Contemporáneo. Salamanca, Spain. December 2000 (2000) ที่เขาว่าจ้างโสเภณีติดยา (ด้วยเงินจำนวนเท่ากับราคาที่เธอจะซื้อเฮโรอีนได้หนึ่งช็อต) ให้มานั่งเรียงแถวให้ช่างสัก สักหลังเป็นลายเส้นตรงต่อๆ กัน
หรือผลงาน The Trap (2007) ที่เขาจ้างผู้อพยพผิดกฎหมาย ที่ถูกกดขี่เอารัดเอาเปรียบด้วยค่าจ้างที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินให้มานั่งเฉยๆ รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ในงานเปิดนิทรรศการศิลปะ
หรือแม้แต่ผลงาน 10 People Paid to Masturbate (2000) ที่เขาจ้างคนว่างงาน 10 คน ให้มาสำเร็จความใคร่ต่อหน้ากล้องที่บันทึกภาพเอาไว้
เซียร์ร่าต้องการเปิดโปงอำนาจความเหลื่อมล้ำในสังคมทุนนิยมที่กดทับคนชายขอบเหล่านี้และปิดบังพวกเขาเอาไว้จนมองไม่เห็น
หรือในผลงานที่อื้อฉาวที่สุดของเขาอย่าง Six People Who Are not Allowed to Be Paid for Sitting in Cardboard Boxes (2000) ที่จัดแสดงในกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี
เดิมทีผลงานชิ้นนี้ดัดแปลงจากผลงานที่เขาทำในกัวเตมาลาและนิวยอร์กในปี 1998
ซึ่งในครั้งนั้นเซียร์ร่าจ้างกรรมกรให้นั่งเงียบๆ อยู่ในกล่องกระดาษภายใต้สถานการณ์และเงื่อนไขต่างๆ
ส่วนผลงานชุดเดียวกันในปี 2000 เซียร์ร่าจ้างผู้ลี้ภัยจากเชชเนียหกคนให้นั่งบนเก้าอี้ภายในกล่องกระดาษลังที่ต่อขึ้นมาหยาบๆ วันละสี่ชั่วโมง เป็นเวลาหกสัปดาห์
พวกเขาต้องรับค่าจ้างอย่างลับๆ เนื่องจากมีสถานะเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมือง ซึ่งตามกฎหมายของเยอรมนี ผู้ลี้ภัยเหล่านี้จะได้รับเงินสงเคราะห์เดือนละ 80 มาร์กเยอรมัน หรือราว 40 เหรียญสหรัฐ
แต่พวกเขาไม่มีสิทธิ์ทำงานหาเลี้ยงชีพอย่างเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นจะถูกเนรเทศและส่งตัวกลับประเทศบ้านเกิดทันที
ดังนั้น รายละเอียดของผลงานชิ้นนี้จึงไม่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณะได้ทั้งหมด
ด้วยความที่ตัวกล่องปิดมิดชิด ผู้ชมจะไม่สามารถมองเห็นผู้ลี้ภัยเหล่านั้นจากภายนอก แต่จะรับรู้ว่ามีคนอยู่ในกล่องได้จากเสียงของความเคลื่อนไหวหรือความพยายามกลั้นไอของผู้ลี้ภัยที่นั่งอยู่ภายในกล่อง
ซึ่งก่อให้เกิดความกระอักกระอ่วนใจและสร้างความตึงเครียดให้แก่บรรยากาศในห้องแสดงงานและผู้ชมเป็นอย่างมาก
ผลงานชิ้นนี้ส่งให้เซียร์ร่ากลายเป็นดาวเด่นของวงการศิลปะร่วมสมัยโลก และดึงดูดความสนใจสาธารณชนให้หันมาสนใจในสถานการณ์ของผู้ลี้ภัยและแรงงานชายขอบในสังคมยุคนั้น
แต่ในขณะเดียวกัน ผลงานชุดนี้ก็ก่อให้เกิดข้อถกเถียง และทำให้เขาถูกโจมตีจากผู้คนจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ชมชาวเยอรมันที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง ว่าผลงานชิ้นนี้ไม่ได้ทำให้สถานการณ์อันเลวร้ายของผู้ลี้ภัยเหล่านั้นลดน้อยลงแต่อย่างใด
เพราะเมื่อนิทรรศการสิ้นสุดลง แรงงานและผู้ลี้ภัยเหล่านั้นก็ถูกปล่อยกลับไปสู่สถานะเดิม ในโลกเดิมที่พวกเขาถูกกดขี่
ในขณะที่ศิลปินอย่างเซียร์ร่ากลับเป็นผู้รับผลประโยชน์ทุกอย่าง ซึ่งยืนยันได้จากการที่เขาได้ตระเวนแสดงผลงานไปทั่วโลก ทั้งเกาหลี เปอร์โตริโก ฮาวานา และมาดริด เป็นต้น
ที่ตลกร้ายและเจ็บแสบยิ่งกว่านั้นก็คือ พนักงานรักษาความปลอดภัยของพิพิธภัณฑ์ในห้องแสดงงานใกล้ๆ กัน ที่ต้องยืนหลังขดหลังแข็งเฝ้าพิพิธภัณฑ์เป็นเวลาแปดชั่วโมงต่อวันนั้นก็ได้รายได้ในอัตราพอๆ กับผู้ลี้ภัยที่มานั่งเฉยๆ อยู่ในกล่องด้วยซ้ำไป
แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ลี้ภัยหลายคนก็ต้องการเข้าร่วมในการแสดงสดครั้งนั้นของเซียร์ร่า เพราะหวังว่าจะใช้นิทรรศการครั้งนั้นป่าวประกาศให้โลกรับรู้ถึงสถานการณ์อันเลวร้ายของพวกเขา
หรือในผลงาน Los Penetrados (The Penetrated) (2008) ภาพยนตร์ความยาว 45 นาที ที่ประกอบด้วยการแสดงแปดองค์ ที่ถ่ายทำในวันที่ 12 ตุลาคม 2008 หรือวัน Día de la Raza (Day of the Race) ซึ่งเป็นวันหยุดประจำชาติสเปน,อเมริกา,อิตาลีและอีกหลายประเทศทั่วโลกที่เฉลิมฉลองวาระที่โคลัมบัสค้นพบทวีปอเมริกาเป็นครั้งแรก
ในภาพยนตร์ประกอบด้วยฉากที่ล้อมรอบด้วยกระจกเงา บนพื้นปูด้วยผ้าห่ม ที่มีแรงงานที่ถูกว่าจ้างทั้งผู้ชาย, ผู้หญิง, ผิวขาวและผิวดำ กำลังประกอบกามกิจทางทวารหนักกันอยู่ ทั้งในรูปแบบของชายผิวขาวกับหญิงผิวขาว, ชายผิวขาวกับชายผิวขาว, ชายผิวดำกับหญิงผิวดำ, ชายผิวดำกับชายผิวดำ, ชายผิวขาวกับหญิงผิวดำ, ชายผิวดำกับหญิงผิวขาว, ชายผิวดำกับชายผิวขาว โดยใบหน้าของพวกเขาถูกปิดบังด้วยเซ็นเซอร์โมเสก
ด้วยการเลือกวันที่ว่าเป็นวันถ่ายทำ เซียร์ร่าสร้างความเชื่อมโยงเชิงเปรียบเทียบระหว่างการค้นพบและยึดครองทวีปอเมริกาเป็นอาณานิคมของสเปน,อิตาลี และประเทศมหาอำนาจอื่นๆ ในยุโรป เข้ากับการล่วงล้ำทิ่มแทงทางเพศที่ปรากฏในหนัง การร่วมเพศทางทวารหนักในหนังเรื่องนี้ เชิญชวนให้ผู้ชมสำรวจแง่มุมทางจิตวิทยาเชิงวัฒนธรรมของการครอบงำของผู้ล่าอาณานิคม และการยอมจำนนของผู้ตกอยู่ใต้อาณานิคม
รวมถึงตรวจสอบความเหลื่อมล้ำไม่เสมอภาคทางอาชีพ, ชาติพันธุ์, เพศสภาพ, ชนชั้น และปัญหาเกี่ยวกับผู้ลี้ภัย ในโครงสร้างสังคมร่วมสมัยของสเปนได้อย่างแสบสันต์เป็นอย่างยิ่ง โดยเซียร์ร่ากล่าวถึงประเด็นเกี่ยวกับชาติพันธุ์และผู้ลี้ภัยว่า
“ความหวาดระแวงดั้งเดิมของคนผิวขาวที่มีต่อคนผิวดำ หรือที่คนยุโรปมีต่อคนแอฟริกันนั้น เชื่อมโยงกับความหวาดกลัวว่า ไม่ช้าก็เร็ว พวกเรา (คนผิวขาว) จะต้องจ่ายค่าชดใช้ต่อความผิดบาปในความละโมบโลภมากที่พวกเรากระทำในอดีตและปัจจุบัน นอกจากนั้นมันยังเชื่อมโยงกับความอิจฉาริษยาในขนาดขององคชาตของคนผิวดำ ที่อาจทำให้ผู้หญิง (หรือผู้ชาย) ผิวขาวลุ่มหลงมัน จนทำให้คนผิวขาวถูกกดข่มทางเพศจนด้อยกว่า สิ่งนี้น่าหวาดกลัวกว่าการถูกแย่งงานทำเสียอีก แง่มุมทางการเมืองเช่นนี้อาจดูป่าเถื่อนกว่าที่เราคิด เพราะพฤติกรรมการแบ่งแยกชาติพันธุ์ของมนุษย์เรานั้น ไม่ต่างอะไรกับการแบ่งแยกสายพันธุ์ของสัตว์ เพราะอันที่จริงเราเองก็เป็นสัตว์ประเภทหนึ่งเหมือนกัน”
กว่า 20 ปีที่ผ่านมา ซานติอาโก เซียร์ร่า แสดงผลงานของเขาในพิพิธภัณฑ์และหอศิลป์ทั่วยุโรปและอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นหอศิลป์ Tate Modern ในลอนดอน, ประเทศอังกฤษ, พิพิธภัณฑ์ Museo Rufino Tamayo ในเม็กซิโก, พิพิธภัณฑ์ Bonniers konsthall ในสตอกโฮล์ม, สวีเดน หอศิลป์ Kestnergesellschaft ในฮันโนเฟอร์ และสถาบันศิลปะ Werke ในเบอร์ลิน, เยอรมนี, หอศิลป์ Kunsthaus Bergenz ในออสเตรีย
รวมถึงเป็นตัวแทนของประเทศสเปนแสดงงานในมหกรรมศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ เวนิส เบียนนาเล่ ครั้งที่ 50 ในปี 2003 อีกด้วย
ขอบคุณ รศ.ธเนศ อ่าวสินธุ์ศิริ เอื้อเฟื้อข้อมูลบางส่วน