“ดอร์ตมุนด์” วันนั้น และ “ลิเวอร์พูล” วันนี้ ความเหมือนที่ “เจอร์เก้น คล็อปป์” กำลังทำให้ซ้ำรอย

ต้องยอมรับว่า “เจอร์เก้น คล็อปป์” เป็นกุนซือที่เข้ามาสร้างความหวังในการคว้าแชมป์ให้ “ลิเวอร์พูล” มากคนหนึ่งในหลายปีหลัง โดยเฉพาะแชมป์ลีก ที่ห่างหายไป 28 ปี จนถูกแฟนบอลอื่นๆ ล้อกันมาตลอด

คล็อปป์ประสบความสำเร็จกับ “โบรุสเซีย ดอร์ตมุนด์” อย่างมากในการปราบบาเยิร์น มิวนิก คว้าแชมป์บุนเดสลีก้า เยอรมนีมาได้ในฤดูกาล 2010-2011

ตอนนั้นดอร์ตมุนด์ร้างแชมป์มาแล้วถึง 9 ปี และการกลับมาเป็นแชมป์บุนเดสลีก้าครั้งนั้น คล็อปป์ก็เข้ามาทำทีมเป็นฤดูกาลที่ 3 แล้ว ซึ่งเท่ากับปัจจุบันที่เขาคุมลิเวอร์พูลเป็นฤดูกาลที่ 3 แล้วเช่นกัน

ปัจจัยอะไรบ้างที่จะมาสนับสนุนให้คล็อปป์พาหงส์แดงบินสูงไปถึงแชมป์ลีกเสียที

ความกระหายในแชมป์

นักเตะลิเวอร์พูลชุดนี้มีเพียง 2 คนเท่านั้นที่เคยได้แชมป์พรีเมียร์ลีกคือ “ดาเนียล สเตอร์ริดจ์” ที่ได้แชมป์กับเชลซี และ “เจมส์ มิลเนอร์” แชมป์กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ นอกจากนั้นก็มี “เซอร์ดาน ชากิรี่” ที่ได้แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก มากับบาเยิร์น มิวนิก

นอกนั้นไม่เคยมีใครที่ได้สัมผัสแชมป์ถ้วยระดับเมเจอร์ในอังกฤษและยุโรปเลย ทำให้เป็นช่วงเวลาที่พวกเขาต้องพิสูจน์ตัวเองว่าดีพอ

เคล็ดลับของกุนซือชาวเยอรมันรายนี้ที่ทำใช้กับดอร์ตมุนด์ในการลุ้นแชมป์บุนเดสลีก้าคือ ให้มุ่งมั่นกับแมตช์ตรงหน้า และไม่พูดถึงแชมป์ในวันที่มันยังมาไม่ถึง

“นูรี่ ซาฮิน” หนึ่งในนักเตะดอร์ตมุนด์ ชุดแชมป์บุนเดสลีก้า ฤดูกาล 2010-2011 บอกว่า คล็อปป์จะฝังหัวทุกคนในทีมว่า เกมเตะในทุกสุดสัปดาห์เป็นเกมสำคัญเสมอ และลงเล่นเหมือนกับแมตช์สำคัญที่สุดในชีวิต

ยกระดับนักเตะสู่อีกคลาสหนึ่ง

นักเตะลิเวอร์พูลชุดนี้หลายคนนอกจากจะไม่เคยได้แชมป์อะไรแล้ว ยังเป็นนักเตะเกรดบี แต่คล็อปป์ได้นำมาเจียระไนจนมีความอันตรายหลายคน “โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน่, โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่” กลายเป็นสามประสานในแดนหน้าที่ยิงประตูกันถล่มทลาย

“แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน, เดยัน ลอฟเรน, อดัม ลัลลาน่า” มีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะคล็อปป์ให้อิสระในการสร้างสรรค์ในสนามอย่างเต็มที่

ซาฮินบอกว่า การทำงานกับคล็อปป์ เขาจะทำให้ทุกคนสนุกกับทุกเรื่อง ทั้งๆ ที่นักเตะในทีมเป็นคนหนุ่ม มาจากทั่วโลก แต่ก็สามารถทำให้ทุกคนมีความสุขร่วมกัน และอยากทำเพื่อทีมได้

ตอนอยู่ในสนาม นักเตะสามารถจ่ายบอลยาวระยะ 30 หลาได้

พุ่งเข้าชนกับนักเตะฝ่ายตรงข้ามแบบไม่ต้องคิดมาก

ทุกคนรู้ดีว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ แต่คล็อปป์กลับให้อิสระ และมีคำแนะนำที่ดีเสมอ

เกเก้นเพรสซิ่งยังคงมีประสิทธิภาพ

เกมรับแล้วสวนกลับเร็วในสไตล์คล็อปป์ หรือ “เกเก้นเพรสซิ่ง” ถูกนำมาปรับเปลี่ยนใช้ที่แอนฟิลด์

นักเตะจะรับไปด้วยกัน และรุกไปด้วยกัน

ซึ่งทำให้เห็นแล้วว่า การเพรสซิ่งและวิ่งกันแบบไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย ทำให้ลิเวอร์พูลดูดุดัน ยิงประตูเป็นกอบเป็นกำเทียบเท่ากับทีมหัวตารางอย่างแมนฯ ซิตี้ หรือเชลซี

เมื่อเกเก้นเพรสซิ่งถูกนำมารวมกับความเร็วและเฉียบขาดของซาลาห์, มาเน่, ฟีร์มิโน่แล้ว ทำให้ลิเวอร์พูลมีเกมที่อันตราย ยิงประตูใครก็ได้

อาจจะถูกวิจารณ์ในเรื่องเกมรับที่หลวมไปบ้าง

แต่ก็มักจะยิงประตูได้เยอะกว่าที่เสียไปในแต่ละเกมอยู่เสมอ

ไม่ปล่อยโอกาสดีๆ ให้หลุดมือไป

ลิเวอร์พูลมีนักเตะที่ไปเตะฟุตบอลโลก 2018 รวม 8 คน แต่ในช่วงปรีซีซั่นที่สหรัฐอเมริกา คล็อปป์พยายามนำลูกทีมไปร่วมปรีซีซั่นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขาดเพียงลอฟเรน, ฟีร์มิโน่, “จอร์แดน เฮนเดอร์สัน” และ “เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์” เท่านั้น เพราะทั้ง 4 คนต้องพักหลังเข้ารอบลึกในเวิลด์คัพ ส่วนคนอื่นๆ ไปกันพร้อมหน้า

ในขณะที่หงส์แดงยกพลสยายปีกไปสหรัฐ แต่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ขาดนักเตะในช่วงปรีซีซั่นไปครึ่งทีม แมนฯ ซิตี้, สเปอร์ส, เชลซี ก็มีนักเตะที่ต้องการเวลาเรียกความฟิตจากฟุตบอลโลกหลายคน

ฤดูกาล 2010-2011 กับดอร์ตมุนด์ ก็มีสถานการณ์คล้ายกันแบบนี้ บาเยิร์น มิวนิก มีนักเตะที่ไปเล่นฟุตบอลโลก 11 คน ส่วนดอร์ตมุนด์มีแค่ 3 คน คล็อปป์ใช้โอกาสได้คุ้มค่าเสมอ เขาเอาจุดนี้มาเป็นข้อได้เปรียบ และบุกไปชนะบาเยิร์นได้ตั้งแต่ต้นฤดูกาล

เมื่อนักเตะของคล็อปป์เริ่มคึกคักและชนะได้แล้ว เขาจะกระตุ้นจนเก็บชัยชนะอย่างต่อเนื่อง แบบไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือ จนดอร์ตมุนด์วันนั้นเป็นแชมป์ลีกครั้งแรกในรอบ 9 ปีได้

ปัจจัยและสถานการณ์เหล่านี้อาจจะเป็นเพียงความบังเอิญที่ถูกจับแพะชนแกะมาตรงกัน เพราะบุนเดสลีก้าวันนั้น กับพรีเมียร์ลีกวันนี้ เป็นคนละเรื่องกัน แต่เมื่อมีกุนซือที่ชื่อเจอร์เก้น คล็อปป์ เหมือนกัน ประวัติศาสตร์อาจจะซ้ำรอยอีกครั้งก็ได้

เดือนพฤษภาคมปีหน้า คงได้คำตอบ