จัตวา กลิ่นสุนทร : 45 ปี- “14 ตุลาคม 2516” ผ่านไปนานเพียงไหนก็ไม่ลืม

วันเวลาเดินทางเวียนมาบรรจบครบ “45 ปี–เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516”

เหตุการณ์วันนั้นเมื่อ 45 ปี เริ่มต้นด้วยการเรียกร้อง “รัฐธรรมนูญ” ในการปกครองประเทศ จนในที่สุดนำไปสู่ความรุนแรงเมื่อ “รัฐบาลทหาร” ไม่ยอมทำตามคำเรียกร้อง มีการจับกุมคุมขัง เรื่องราวจึงบานปลายไปสู่การเดินขบวนครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์

กระทั่งนำไปสู่ความรุนแรง เกิดการปะทะกันระหว่างฝูงชนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร นำมาซึ่งความสูญเสียทั้งชีวิต ทรัพย์สิน เมื่อมีการใช้กำลังเข้าปราบปรามนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชน

คณะรัฐบาล ผู้นำทหาร ซึ่งกุมอำนาจเบ็ดเสร็จตั้งแต่ “นายกรัฐมนตรี” ลงมาจนถึง “กองทัพ” ต้องยอมลงจากตำแหน่ง ในที่สุดพร้อมเดินทางออกนอกประเทศ

เป็นบทเรียนต่อ “เผด็จการทหาร” ในรุ่นต่อๆ มาว่าถึงจะมีอำนาจมากมายล้นฟ้าสักเพียงไหน มีกองทัพสนับสนุนรวมทั้งสมุนบริวารคนสอพลอแวดล้อมรับใช้ต่างๆ ทุกอาชีพก็เอาชนะ “ประชาชน” เจ้าของประเทศไม่ได้

 

ตัวอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อ 45 ปีได้เป็นประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่ง แต่ดูเหมือนไม่ได้เป็นบทเรียนให้จดจำกันเลยกับพวกสอพลอหาประโยชน์กับกลุ่มเผด็จการเพื่อหวังผลประโยชน์เอาตัวรอดในยุคสมัยนี้ ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนจัดทำกฎหมายสูงสุดสำหรับใช้บริหารประเทศ ดำเนินการกดขี่เอาเปรียบประชาชนทั่วไปในการสืบต่ออำนาจ

ผู้ให้บริการเหล่านี้ย่อมจะต้องได้รับการบันทึกไว้ในความทรงจำของประชาชน เพราะบางทีอาจจะมีโอกาสได้ลงโทษเอาคืนกันบ้างในอนาคต ขอเพียงแต่มีแค่ความทรงจำ และอย่าละเลยการบันทึกเรียนรู้ ประวัติศาสตร์

ต้องขอหยิบเอาคำพูดเดิมๆ เก่าๆ มาเตือนบรรดา “เผด็จการ” ผู้กดขี่เอาเปรียบ ปกครองประชาชนบริหารบ้านเมืองอย่างไม่เป็นธรรมอีกสักครั้งว่า “ที่ไหนมีการกดขี่ ที่นั่นต้องมีการต่อสู้”

อย่ากอบโกยผยองพองขนนักเลยว่าพวกมากแจกจ่ายผลประโยชน์กันไปในมวลหมู่ผู้สนับสนุนกระทั่งอิ่มเอมมากพอทั่วถึงแล้ว จะกดขี่ประชาชนได้ตลอดไป

สื่อที่เป็นกลางเป็นธรรมพยายามตักเตือนท้วงติงด้วยความจริงใจ ห่วงใยบ้านเมือง แต่ดูเหมือนว่ารัฐบาล “เผด็จการ” ไม่ฟังเสียงใครทั้งนั้น มั่นใจว่าตนเองถือ “อำนาจพิเศษ” มีกฎหมายซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับของสากลอยู่ในมือให้อำนาจล้นเหลือ

บริหารราชการแผ่นดินโดยไม่มีฝ่ายค้านตรวจสอบ มี “สภานิติบัญญัติแห่งชาติ” ซึ่งแต่งตั้งมาจากที่เดียวกันทั้งหมด จะทำอะไรก็ย่อมได้ ผลาญงบประมาณของแผ่นดิน สร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติมากขึ้นๆ

“ยึดอำนาจ” ของประชาชนเกือบ 5 ปียังทำท่าอิดออดไม่อยากจะคืน ทั้งๆ ที่วางแผนทำกฎหมายเอาเปรียบการเข้าสู่อำนาจการปกครอง ต้องการต่อท่ออำนาจไปอีกยาวนาน ถึงเวลาซึ่งไม่สามารถยื้อได้อีกต่อไปต้องจัดให้มีการเลือกตั้ง ยังเอาเปรียบประชาชน นักการเมืองอย่างชนิดไม่มียางอาย

ไร้สปิริต กอดอำนาจไว้จนแน่นกับตำแหน่งผู้นำสูงสุด สร้างความเป็นต่อได้เปรียบนักการเมืองทั่วไปในการหาเสียง การใช้ทรัพยากรของประเทศ กระทั่ง “รัฐมนตรี” ร่วมรัฐบาลซึ่งออกมาตั้งพรรคการเมืองเพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งสนับสนุนการสืบทอดอำนาจต่อไปก็ไม่ยอมลาออกจากตำแหน่ง บอกกันว่า “ไม่ผิดกฎหมาย” รับรองว่าจะไม่เอาเปรียบ ไม่เอาทรัพยากร บุคลากรของรัฐมาหาเสียง ยินดีให้ตรวจสอบ

ใครเชื่อก็บ้าแล้ว

น่าอับอายพิลึก คิดว่าคงมีเพียงประเทศเดียวในโลกที่คนใน “รัฐบาล” และ “รัฐมนตรี” ตั้งพรรคการเมือง ลงสมัครรับเลือกตั้งแข่งขันกับนักการเมืองทั่วไป แต่ยังเกาะ “ตำแหน่ง” อยู่

 

เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ผู้นำรัฐบาล “เผด็จการทหาร” ต้องเดินทางออกนอกประเทศไปคนละทิศละทาง ต้องตั้งรัฐบาลเพื่อดำเนินการจัดตั้งสภาที่เรียกว่าสภาสนามม้าเพราะเปิดประชุมที่ “สนามม้านางเลิ้ง” (ปิดตัวลงแล้ว) ให้ผู้ที่ถูกเสนอชื่อได้เลือกกันเองตามจำนวนไปเป็นสมาชิก “สภานิติบัญญัติแห่งชาติ” ดำเนินการตามครรลองประชาธิปไตยในการปกครองประเทศ ก่อนจัดตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ จัดทำรัฐธรรมนูญขึ้นจนเสร็จเรียบร้อยเป็น “รัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ.2517”

อาจารย์หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ก่อตั้ง “พรรคกิจสังคม” ขึ้น เพื่อส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้ง แม้จะไม่ประสบความสำเร็จ ได้สมาชิกเข้ามาเพียง 18 เสียง แต่ท่านได้เป็น “นายกรัฐมนตรี” (คนที่ 13) ในปี พ.ศ.2518 โดยได้รับการสนับสนุนของพรรคการเมืองต่างๆ

บริหารประเทศชาติตามระบอบประชาธิปไตยท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย แต่ท่านก็ยังรักษาประชาธิปไตยเอาไว้จนสุดความสามารถ ระหว่างนั้นมีปัญหามากมาย ประเทศรอบๆ บ้านก็เต็มไปด้วยสงคราม ในที่สุดท่านได้เดินทางไปเปิดสัมพันธไมตรีกับสาธารณรัฐประชาชนชนจีน ได้สัมผัสมือกับจอมคน ท่านประธาน “เหมา เจ๋อ ตุง” เพื่อแก้ปัญหาเรื่องคอมมิวนิสต์ในประเทศไทยให้สงบราบรื่นลงบ้าง

ประคับประคองระบอบประชาธิปไตยอยู่ได้เพียงปีเศษ ในที่สุดก็ต้อง “ยุบสภา” เพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นใหม่ในปี พ.ศ.2519 และตัวนายกรัฐมนตรีรักษาการ ซึ่งลงสมัครรับเลือกตั้งในเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร กลับ “สอบตก”

พรรคประชาธิปัตย์ได้รับเลือกตั้งเข้ามามากกว่าพรรคอื่นๆ ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ท่านอาจารย์หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช หัวหน้าพรรค จึงได้เป็น “นายกรัฐมนตรี”

 

เกิดเหตุการณ์วุ่นวาย “คนไทยฆ่าคนไทย” กันเองอีกครั้งหนึ่งด้วยความโหดเหี้ยมทารุณผิดมนุษย์กลางท้องสนามหลวง ในบริเวณมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมีการ “เผาแบบนั่งยาง” กันกลางถนนราชดำเนิน คือ “เหตุการณ์วันที่ 6 ตุลาคม 2519–” ซึ่งกำลังผ่านเลยไป 42 ปีแล้ว–

ครั้งนี้บริเวณดังกล่าวนั้น–ที่นั่น “มีคนตาย” (มาก) แน่นอน นอกจาก “ทหาร-ตำรวจ” แล้วก็เป็นคนไทยตามชุมชน ตามตรอกซอกซอยที่ถูกปลุกระดมกันทั้งวันทั้งคืนทางสถานีวิทยุยานเกราะ ตั้งอยู่ที่บางกระบือ กรุงเทพฯ ให้ออกมาทำร้าย มาฆ่าคนไทยด้วยกันเอง โดยกล่าวหาว่าเป็น “คอมมิวนิสต์” ญวน

ยืนยันได้ว่าไม่ได้นั่งเทียนเขียนข่าว เขียนคอลัมน์ด้วยการฟังการเล่าขานแบบไม่มีความรับผิดชอบ

แต่ได้เห็นด้วยตาตัวเองเมื่อ 42 ปีก่อนใน “เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519” ซึ่งขณะนั้นมีอายุใกล้ 30 ปีแล้ว สามารถเข้าใจการเมืองพอทำมาหากินได้ในระดับหนึ่งทีเดียว ต่างกันกับเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2516 ที่ไม่ค่อยจะรู้เรื่องราวทั้งๆ ที่เวลาห่างกันแค่ 3 ปีซึ่งยังไม่ค่อยประสีประสาเรื่องอำนาจ การแย่งชิงผลประโยชน์

สาเหตุมาจากการพยายามจะกลับเข้าประเทศของอดีตผู้นำรัฐบาล “เผด็จการ” ซึ่งถูกโค่นล้มไปเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2516 ที่ถูกขับออกไปจะกลับบ้านถึงกับต้องไปบวชเป็นสามเณรยังประเทศสิงคโปร์เพื่อเดินทางเข้ามา และองค์การนิสิตนักศึกษา ระดมกำลังนิสิตนักศึกษา ประชาชน รวมตัวกันออกมาต่อต้าน

คณะรัฐบาล “พรรคประชาธิปัตย์” ถูก “ยึดอำนาจ” ไปพร้อมๆ กับมีคนตายเป็นจำนวนมาก ผู้ต่อต้านส่วนหนึ่งถูกจับกุมคุมขังเพื่อดำเนินคดี ส่วนนักศึกษาระดับปัญญาชนหันหลังให้เมืองมุ่งหน้าเข้าป่าเพื่อร่วมต่อสู้กับฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล

 

รําลึกนึกถึงเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ 14 ตุลาคม 2516 ซึ่งผ่านเลยมา 45 ปีพร้อมกับเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ที่ผ่านเลยมา 42 ปี ด้วยจิตคารวะอย่างยิ่ง ไม่ว่ามันจะผ่านไปสักกี่ปี หากยังมีลมหายใจอยู่ก็มิมีวันลืมเลือนกับ “เหตุการณ์ประวัติศาสตร์” ดังกล่าว

อยากท้วงติงตักเตือนผู้ปกครองทั้ง “เผด็จการ” และสนับสนุนเผด็จการ ซึ่งกำลังคิดและวางแผนเพื่อต่อท่ออำนาจด้วยการเอาเปรียบอย่างไม่อายกับนักการเมืองทั้งหลายซึ่งเสนอตัวเข้ามารับใช้ประชาชนประเทศชาติด้วยจิตใจบริสุทธิ์ ไม่ว่าท่านจะยกเอาแม่น้ำทั้งหลายแหล่หลายร้อยสายมาอ้างว่าจะไม่เอาเปรียบคู่ต่อสู้ทางการเมือง พูดอย่างไรก็ไม่มีทางจะเชื่อได้ ลบล้างการกระทำได้

ขอความกรุณาอย่าคิดว่าประชาชนกินรำ กินแกลบ โง่เง่าจนหลอกเอาได้ อยากให้พวกท่านย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์ว่า เผด็จการไม่ว่ายิ่งใหญ่เท่าไร พวกมากสักแค่ไหน ล้วนมีจุดจบไม่สวยงาม ไม่มีทางเอาชนะประชาชนได้

ไม่เชื่อไม่เป็นไร คอยดูเอาเองเถอะ “คงไม่นานเกินรอ”!