เผยแพร่ |
---|
แม้คสช.จะยังไม่ยอม “ปลดล็อก”ให้พรรคการเมืองได้ทำกิจกรรมทางการเมืองอย่างเต็มรูปแบบ แต่ปรากฏการณ์ 1 ซึ่งเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางและลึกซึ้งมากยิ่งขึ้นเป็นลำดับ
1 พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่จะได้รับเลือกมากเป็นอันดับ 1 ไม่ว่าจะมีการกำหนดกติกาการเลือกตั้งไปเป็นแบบไหน
สัมผัสได้จาก”โพล”หลายสำนัก
สัมผัสได้จาก “คณิตศาสตร์”การเลือกตั้งไม่ว่าจะมาจากจุฬา ลงกรณ์มหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะมาจากสถาบันพระปกเกล้า หรือแม้กระทั่งสำนักข่าวบีบีซีไทยจากกรุงลอนดอน
1 พรรคอนาคตใหม่กลายเป็นความหวังและสร้างกระแสในการเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างคึกคัก
นับแต่เดือนมีนาคมกระทั่งเดือนตุลาคม
หากไม่มีการเปิดตัวของพรรคอนาคตใหม่ก็คงไม่มีการตื่นตัวไม่ว่าจะจากพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะจากพรรคพลังประชารัฐ
เป็นความตื่นตัวในเรื่องของ “คนรุ่นใหม่”
หากไม่มีการประกาศ 3 แนวทางการเมืองอย่างเด่นชัด 1 คัด ค้านการสืบทอดอำนาจของคสช. 1 ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และ 1 ล้มล้างผลพวงของการรัฐประหาร
แนวทางไม่เอาคสช.ที่เคยเสนอโดย นายพิชัย รัตตกุล และประมวลสรุปอย่างรวบรัดโดย ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล คงไม่มีความแจ่มชัด
เกิดเป็นกระแส 1 เอาคสช. 1 ไม่เอาคสช.
อันได้รับการขยายออกไปเป็น 1 เอารัฐประหาร 1 ไม่เอารัฐประหาร และในที่สุดตกผลึกในทางความคิดเป็น 1 เอาเผด็จ การโดยคสช. กับ 1 เอาประชาธิปไตย
และนี่จะกลายเป็น 2 แนวทางของการตัดสินใจในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 ของประชาชน
จะเลือกพรรคการเมืองใดใน 2 แนวทางนี้
การต่อสู้โดยผ่านกระบวนการเลือกตั้งในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 จึงดำเนินไปในลักษณะทางยุทธศาสตร์
แยกจำแนกเป็น 2 กลุ่มความคิด กลุ่มพรรค
แนวทาง 1 ยืนยันการดำรงอำนาจของคสช. แนวทาง 1 ยืนยันการไม่ยอมให้คสช.ดำรงอำนาจต่อไป
ชอบแนวใด พรรคใด ก็เลือกแนวนั้น พรรคนั้น
ชอบเผด็จการ ชอบประชาธิปไตย ก็ตัดสินใจได้ในคูหา