ละครหน้าฉาก หนังหน้าไฟ “เนวินซิตี้” พ่นพิษ โห่ “ป้อม” – เชียร์ “ตู่”?

เป็นดราม่าในโลกโซเชียล หลัง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ถูกผู้ชมโห่ร้องขณะเปิดงานโมโตจีพี สนามที่ 15 รายการพีทีที ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์ ที่สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต

ซึ่งเสียงโห่นี้เกิดขึ้นขณะอ่านชื่องานผิดจาก “โมโตจีพี” เป็น “โมโตซีพี” หรือ “โมโตทีพี” และขณะนั่งรถกอล์ฟผ่าน โดยเสียงที่เกิดขึ้นมีทั้งเสียงโห่ เสียงผิวปาก เสียงปรบมือ ผสมกันไป

“เขาโห่ต้อนรับ ไม่ได้โห่ไล่ โห่ให้รองนายกฯ ถ้าโห่ไล่ เขาก็ต้องขว้างสิ่งของใส่ เขาจะมาโห่ไล่ทำไม ไปทำงานให้เขา ซึ่งผมก็ได้ยิน เพราะเสียงดัง ไม่ได้รู้สึกดีใจอะไร ก็รู้สึกปกติ เขาต้อนรับอย่างดี ส่วนคุณเนวิน (ชิดชอบ) ก็ดี ไม่มีอะไร” พล.อ.ประวิตรแจง

ด้าน พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม ระบุ “ในสนามเสียงดังมาก รถมอเตอร์ไซค์ที่เข้าแข่งเครื่องกว่าพันซีซี ท่านก็ได้ยินแค่เสียงคนในสนาม ต้องแยกให้ออกว่า พล.อ.ประวิตรไปเปิดงานของรัฐบาล ไม่ใช่งานของนายเนวิน เป็นงานของประเทศ สร้างรายได้ให้มหาศาล”

“แต่วันนี้กลับมีสื่อใหญ่นำคลิปจากตรงนั้นตรงนี้ไปปะติดปะต่อ นัดแนะว่า เอาคลิปคนนั้นคนนี้จากโซเชียล ซึ่งไม่ควรทำ”

 

อย่างไรก็ตาม บุคคลใกล้ชิด พล.อ.ประวิตร มองว่า เสียงที่เกิดขึ้นมีผสมกันไป จึงเป็นเรื่องที่พูดยาก เพราะในสนามมีคนจำนวนมาก มีทั้งเสียงเชียร์หรือเสียงโห่ก็มี ฟังได้ยาก ซึ่งเป็นเรื่องปกติด้วยในพื้นที่แบบนี้ไม่ต่างจากต่างประเทศที่ก็มีในลักษณะนี้เช่นกัน

แต่เวลาลงพื้นที่อื่นๆ คนชอบ พล.อ.ประวิตรก็มี ที่ลงไปทำงานให้ หากตีความโดยความเป็นกลาง ถ้าคนรู้สึกไม่ดีหรือโห่ไล่ก็ต้องมีการปาของลงมาแล้ว

ที่สำคัญ พล.อ.ประวิตรทำงานดูแลความมั่นคง คุมทหารและตำรวจ ย่อมมีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบผ่านการใช้พระเดชและพระคุณต่างๆ ซึ่ง พล.อ.ประวิตรก็ได้ชี้แจงไปแล้วว่าเป็นการ “โห่ต้อนรับ” ซึ่งก็ตอบได้ดีเพราะไม่ไปกระทบอีกฝ่ายและไม่เป็นการไปขยายความอีก

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตรก็ทราบดีว่าตัวเองตกเป็นเป้านิ่งทางการเมืองมาตลอด ถึงกับตัดพ้อเลยว่า “อะไรๆ ก็โดนตลอด”

บุคคลใกล้ชิด พล.อ.ประวิตร กล่าวเพิ่มว่า ต้องมองด้วยว่าเสียงโห่นั้นมาจากโห่ที่พูดผิดเท่านั้นหรือไม่ หรือมาจากเรื่องอื่นๆ

เช่น มาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดเกินไปหรือไม่?

หรือการคาดหวังว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะต้องมาเปิดงานนี้หรือไม่ ซึ่งหากเป็น พล.อ.ประยุทธ์มาเปิดงานแล้วพูดผิดจะเกิดเหตุการณ์แบบ พล.อ.ประวิตรหรือไม่ หรือหากเป็นดารา-นักแสดงมาเปิดงาน จะมีเสียงแบบใดหรือการแสดงออกแบบใด

ซึ่งต่างบุคคล การแสดงออกก็ย่อมแตกต่างกัน

 

ย้อนกลับไปต้นเดือนพฤษภาคม 2561 “บิ๊กตู่” ลงพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ และได้พบกับประชาชนที่สนามช้าง อารีน่า ได้ทำมือสัญลักษณ์ “ไอ เลิฟ ยู” เดินรอบสนามเพื่อทักทาย ซึ่งก็ไร้เสียงโห่จากชาวบ้านที่มาต้อนรับเต็มสนาม

โดยมี “พี่เน” นายเนวิน ชิดชอบ พร้อม “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยมาต้อนรับและเดินเคียงข้าง ชาวบ้านปรบมือต้อนรับนายกฯ เป็นบรรยากาศที่นับว่าฮือฮาทันที ท่ามกลางกระแส “พลังดูด” ในช่วงเวลานั้นว่าพรรคภูมิใจไทยและตระกูลชิดชอบจะไปร่วมทัพหนุน “บิ๊กตู่” เป็นนายกฯ อีกสมัยหรือไม่ โดยมีชาวบ้านมาต้อนรับนายกฯ กว่า 30,000 คน ซึ่งได้กางร่มบนอัฒจันทร์รอต้อนรับนายกฯ นานหลายชั่วโมง โดยมีนายเนวินคอยพูดคุยกับชาวบ้านอยู่ตลอด

โดยนายเนวินกล่าวกับชาวบ้านว่า “พวกเราตากแดดมาชั่วชีวิตในการทำงาน แต่จะตากแดดต้อนรับลุงตู่ไม่ได้หรือ คนบุรีรัมย์ตากแดดไม่นาน เพื่อให้กำลังใจลุงตู่ได้อยู่แล้ว เพราะการที่ ครม.จะมาประชุมที่บุรีรัมย์นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย 8-9 ปีมานี้ เราเชียร์ฟุตบอลมาตลอด และได้แชมป์จนเบื่อ และวันนี้มาทำเพื่อจังหวัดอีกครั้ง” พร้อมซักซ้อมการเปล่งเสียงของประชาชน และทักทายรายอำเภอต่างๆ ที่มา

พร้อมกันนี้นายเนวินบอกว่า วันนี้จังหวัดบุรีรัมย์ได้ของบประมาณกับรัฐบาล โดยต้องได้ไม่ต่ำกว่าหมื่นล้านบาท ให้อดทนต่อแสงแดดและความร้อน เพื่อตอนที่นายกฯ ลุงตู่เดินทางมาบุรีรัมย์ และจะให้ส่งเสียงดังๆ เพื่อให้นายกฯ ลุงตู่อนุมัติงบประมาณลงพื้นที่บุรีรัมย์หมื่นล้าน ขอให้ร่วมกันให้กำลังใจ”

เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์มาถึงสนาม ชาวบ้านได้ทักทายด้วยคำว่า “ลุงตู่ ลุงตู่” ตามจังหวะกลอง

 

จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ได้เดินทางไปยังสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต เพื่อตรวจเยี่ยมความพร้อมของไทยในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก สนามที่ 15 พร้อมได้สวมชุดนักแข่งรถลงสนามทดลองขี่รถจักรยานยนต์ยามาฮ่า รุ่น MT-09 Tracer ขนาด 900 CC โดยมีนายเนวินร่วมขบวนด้วย

เรียกได้ว่าเอาใจกันสุดสุด เพราะนายกฯ ชื่นชอบขี่ “บิ๊กไบก์-ฮาร์เล่ย์” ตั้งแต่เป็นทหารเสือฯ ที่ ร.21 รอ. แล้ว

ดังนั้น หากกลับมาดูกรณี พล.อ.ประวิตร “เสียงโห่” ที่เกิดขึ้นจึงมากกว่าเสียงโห่ที่สะท้อนภาพต่างๆ ได้ไม่น้อย เพราะครั้ง พล.อ.ประวิตรไป ผู้ชมในสนามมีความหลากหลายพื้นที่ ไม่ได้เฉพาะเจาะจงเป็นเพียงชาว จ.บุรีรัมย์ อีกทั้งเป็นคนที่ต้องการเข้าไปชมการแข่งขัน ดังนั้น เสียงโห่ที่เกิดขึ้นจึงยากจะ “ควบคุม”

ต่างจากครั้งที่ พล.อ.ประยุทธ์ไปกล่าวปราศรัย เพราะส่วนใหญ่เป็นชาว จ.บุรีรัมย์ที่นายเนวินสามารถคุมพื้นที่ได้ทั้งหมดรายอำเภอ หากมีเสียงโห่ไล่เกิดขึ้น ย่อมหา “ต้นเสียง” ได้ไม่ยาก

อีกทั้งหากดูภาพลักษณ์ทางการเมืองระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตรนั้น ภาพของนายกฯ ดูจะเป็น “พระเอก” มากกว่า ซึ่งภาพของ พล.อ.ประวิตรนั้นตกเป็นเป้าใหญ่ทางการเมืองและมีหลายเรื่องราวที่ยังไม่เคลียร์ชัด เช่น ปมนาฬิกาหรู เป็นต้น จนถูกมองเป็น “จุดอ่อน” ของรัฐบาล

และที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตรก็คอยออกรับหลายเรื่องแทนนายกฯ จึงทำให้มีแผลทางการเมืองไม่น้อย

 

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในสนาม ต่างจากเวลาที่ พล.อ.ประวิตรลงพื้นที่ภาคอีสาน ขณะไปมอบโฉนดที่ดินและทรัพย์สินคืนชาวบ้านในการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ ที่ได้รับการต้อนรับอย่างดี

โดยมีทีมงานตำรวจ ที่นำโดย “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รักษาการผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ขณะเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว น้องเลิฟสายตำรวจที่คอยจัดแจงให้ ซึ่งที่ผ่านมาก็มีชาวบ้านมามอบดอกกุหลาบ ผ้าขาวม้า และกอด พล.อ.ประวิตร บางคนถึงกับยกให้ พล.อ.ประวิตรเป็น “อัศวิน” ที่มาช่วยเหลือเลยทีเดียว

แต่ทั้งหมดนี้ ระวังจะเป็นเพียง “ละครหน้าฉาก” หรือ “หนังหน้าไฟ” เท่านั้น!!