กกต.-แฟรนไชส์ โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

สถานีคิดเลขที่ 12/สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

——————–

กกต.-แฟรนไชส์

——————–

แม้คณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) จะมาตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย การเลือกสรร ภายใต้ ร่มธง “แม่น้ำ 5 สาย”

แต่ ก็ไม่อาจถือว่า กกต. เป็นองค์กรของใครได้

เพราะกกต.เป็นองค์กรอิสระ

ที่ จะต้องอำนวยความเป็นธรรม อย่างที่สุดให้กับ “การเลือกตั้ง”อันเป็นหัวใจสำคัญของระบอบประชาธิปไตย

จะเป็น แฟรนไชส์ เป็น แนวร่วม เป็นฝักเป็นฝ่ายใครไม่ได้เด็ดขาด

นับตั้งแต่ กกต.ชุดใหม่ เข้ามาบริหารงาน

แม้ โดยส่วนตัว จะยังไม่รู้สึก เข้าตา หรือประทับใจผลงานอะไรมากนัก

แต่ก็ยัง ไม่มีอะไรเสียหาย จนถึงขนาดรับไม่ได้

เพียงแต่รู้สึก กกต.ขับเคลื่อน แบบระบบราชการ ไม่มีอะไรแหลมคม

พอจะบ่งชี้ว่า กกต.มีวิสัยทัศน์ ใหม่ๆต่อการเลือกตั้ง หรือต่อการเมืองยุคใหม่

และที่สำคัญ มีเจตจำนงที่มุ่งมั่น จะทำให้ การเลือกตั้ง เป็นประชาธิปไตยโดยแท้จริง และเป็นการเลือกตั้งยุคปฏิรูปอย่างที่ว่ากัน

ผิดหวังนิดๆ ที่หลายๆประเด็น กกต.ควรเป็นฝ่ายรุกและไวต่อเสียกเรียกร้องของพรรคการเมืองต่างๆ ที่ต้องการให้การเลือกตั้งเปิดกว้าง

โดยกกต.สามารถเป็นตัวแทนของ ฝ่ายการเมือง พรรคการเมือง เรียกร้องไปยัง คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) รีบผ่อนคลาย ให้ พรรคการเมือง แข่งขันกันได้อย่างเสรีเป็นธรรม

แต่ที่ผ่านมา กกต.กลับวางตน เป็นผูู้คุ้มกฏ โดยเคร่งครัด เท่านั้น

เราได้ยินเสียงจาก กกต.ว่าพรรคการมืองทำอย่างนี้ไม่ได้ เพราะขัดคำสั่ง คสช.

ทุกฝ่ายต้องเดินตามทางที่คสช.ขีดไว้เพราะเป็นกฎหมาย

แต่เราไม่ค่อยได้ยินเสียงจากกกต.ที่เสนอหรือแนะย้อนกลับไปยังคสช.ว่า คำสั่งฉบับนั้นฉบับนี้ น่าจะขัดขวางการต่อหาเสียงอย่างเป็นธรรม ควรจะเร่งแก้ไข

ทั้งนี้เพื่อแสดง จุดยืนของกกต.ว่า “ศรัทธาและมุ่งมั่น”ต่อระบบประชาธิปไตย ที่จะขจัด ข้อขัดข้อง ข้อขัดขวางต่อการขับเคลื่อนของพรรคการเมืองเพื่อเสนอนโยบายต่อประชาชน ให้มากที่สุด

อย่างประเด็น เงินบริจาคของพรรคการเมือง

แทนที่จะไล่กำราบพรรคการเมืองว่า รับได้-รับไม่ได้ เพราะขัดคำสั่งคสช.

แถม กลายเป็นประเด็น ที่ก่อให้เกิดความสงสัยในวินิจฉัยของกตต.ไปเสียอีก ว่าทำไมพรรคนี้ ทำได้ พรรคนั้นทำไม่ได้

กกต.ทำไมไม่พลิกบทบาท เป็นผู้สะท้อนความต้องการของพรรคการเมืองไปยังคสช.ว่า ในเวลาอันจำกัด คสช. ควรจะเปิดให้มีการรับเงินบริจาคเพื่อดำเนินการทางการเมืองให้กว้างขึ้นได้

แค่เปิดรับได้เฉพาะเงินบำรุงสมาชิกพรรคเท่านั้นไม่เพียงพอ

การเปิดบริจาคอย่างโปร่งใส ไม่กระจุกอยู่ที่ใครคนใดคนหนึ่ง หรือเฉพาะนายทุนพรรค คือสิ่งที่ทุกฝ่ายต้องการมิใช่หรือ

แล้วจะแช่แข็งไว้ทำไม

สู้เปิดบริจาคอย่างกว้างขวาง โปร่งใส โดยกกต.สามารถตรวจสอบได้ เป็นทางเลือกที่ดีกว่าจะมาเถียงกันว่า พรรคนั่นทำไมทำได้ พรรคนั้นทำไม่ได้

อนึ่งประเด็น ทำได้ ทำไม่ได้ นี้สำคัญ และ นับวันจะเข้นข้นขึ้น

เพราะจะมีการเปรียบเทียบ จาก ผู้เล่น คือนักการเมือง พรรคการเมือง ซึ่งมีส่วนได้เสียมากยิ่งขึ้นทุกที

และคงจะดุเดือด ขึ้นถึงขีดสุด ด้วยบางประเด็นมีโทษถึงขนาดยุบพรรค อย่างเรื่อง การบงการจากคนภายนอก ตามมาตรา 28 ของพ.ร.บ.พรรคการเมือง เป็นต้น

ตรงนี้ จะยิ่งท้าทาย กกต.ว่าจะเป็น คนกลางที่ตัดสิน ให้ทุกฝ่าย “ยอมรับ” หรือโต้แย้งไม่ได้แค่ไหน

ซึ่งกกต.จะไร้ความหมาย หรือทำหน้าที่ไม่ได้ทันที

หาก กกต.ตกเป็นจำเลยว่า เป็น แฟรนไชส์ ของ ใครหรือคณะใดเสียเอง

—————-