ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ : ประชาธิปัตย์ต้องไปให้พ้นการเมืองแบบคนอย่างศิริโชค

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

คุณศิริโชค โสภา เป็นประชาธิปัตย์ที่โดดเด่นที่สุดในการต่อต้านรัฐบาลจากการเลือกตั้งทุกชุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา

แต่ขณะที่ประชาธิปัตย์หลายคนมีบทบาทวิพากษ์รัฐประหารที่เกิดขึ้นในปี 2549 และปี 2557

คุณศิริโชคคือประชาธิปัตย์ที่แทบไม่มีบทบาทตรวจสอบนโยบายหรือการใช้อำนาจของรัฐทหารให้เห็นเลย

คุณศิริโชคมีอาชีพนักการเมือง 17 ปี หากนับตั้งแต่วันที่ย้ายพรรคแล้วได้เป็น ส.ส. ในปี 2544 จนน่าสงสัยว่าทำไมคุณศิริโชคไม่ตรวจสอบรัฐบาลที่ไม่มีใครเลือกเหมือนตรวจสอบรัฐบาลที่ประชาชนเลือกเข้ามา?

ทั้งที่เป็นผู้แทนราษฎรจากสงขลาที่เกษตรกรจนลงเพราะยางราคาตกหนักยุค คสช.

บทบาทคุณศิริโชคในการเป็นปากเสียงคนในพื้นที่ตลอดสี่ปีกลับมีน้อยมาก

ยิ่งเรื่องที่ขัดแย้งกับอำนาจรัฐและทุนอย่างโรงไฟฟ้าเทพา, กุ้งราคาร่วง, กองทัพทำชาวบ้านเดือดร้อน ฯลฯ ก็ยิ่งแทบไม่ปรากฏชื่อคุณศิริโชคแม้แต่นิดเดียว

ถ้าบอกว่ารัฐทหารทำให้นักการเมืองทำอะไรไม่ได้ คนที่ทำแบบนี้ในเพื่อไทยหรืออนาคตใหม่ก็มีไม่น้อย ประชาธิปัตย์เองก็มีคุณชินวรณ์ บุญยเกียรติ ที่ชี้ว่านโยบายยางยุคนี้ผิดพลาด

คุณองอาจ คล้ามไพบูลย์ ค้านเรื่อง คสช.ยุบสภาเขตของคนกรุงเทพฯ

คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คว่ำรัฐธรรมนูญทหาร หรือนายกฯ ชวน หลีกภัย ก็วิจารณ์ ครม.สัญจรของรัฐบาลนี้ตรงๆ

จริงอยู่ งานการเมืองเป็นจิตอาสาซึ่งไม่มีใครบังคับได้ว่าใครควรทำอะไร

แต่นักการเมืองที่ทำงานเพื่อประชาชนตลอดเวลานั้นน่านับถือกว่านักการเมืองที่ทำอะไรแค่ตอนหาเสียงแน่ๆ

เช่นเดียวกับคนที่ตรวจสอบอำนาจรัฐทุกรูปแบบย่อมน่ายกย่องกว่าคนที่กล้าตรวจสอบแค่รัฐบาลเลือกตั้งที่ไม่ใช่พวกตัวเอง

สําหรับคุณศิริโชคแล้ว การตรวจสอบรัฐบาลจากการเลือกตั้งสำคัญกว่าการตรวจสอบผู้มีอำนาจทุกรัฐบาล สี่ปีที่ พล.อ.ประยุทธ์รัฐประหารแล้วตั้งตัวเองเป็นนายกฯ จึงเป็นสี่ปีที่คุณศิริโชคหายไปเฉยๆ

จนเป็นข่าวอีกครั้งเมื่อโพสต์เฟซขอโทษนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพื่อแลกกับการให้ท่านถอนฟ้องคดีหมิ่นประมาทชั้นศาลฎีกาตามที่คุณศิริโชคระบุ

คดีเกิดขึ้นเพราะคุณศิริโชคพูดถึงนายกฯ ยิ่งลักษณ์ว่าท่านเปิดห้องโรงแรมเพื่อเพศกิจในเวลาราชการ

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จำคุกคุณศิริโชคกับพวก 1 ปี แบบรอลงอาญา

อภัยทานของนายกฯ จึงทำให้กลุ่มคุณศิริโชคตัดความเสี่ยงที่ศาลฎีกาจะให้เข้าคุกจริงๆ จนเสียโอกาสลงเลือกตั้งครั้งถัดไป

แน่นอนว่ากฎหมายหมิ่นประมาทของประเทศทำให้ผู้แสดงความเห็นสาธารณะเสี่ยงติดคุกทุกราย แต่สิ่งที่คุณศิริโชคและพวกทำคือพูดเท็จในเรื่องส่วนตัวของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ซึ่งไม่เกี่ยวกับประโยชน์สาธารณะทั้งสิ้น

คำตัดสินว่าหมิ่นประมาทจนต้องโทษจำคุกจึงไม่ต่างจากการตีตราคุณศิริโชคว่ามีพฤติกรรมน่าละอาย

ภายใต้ตัวข่าวเรื่องการุณยธรรมของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ต่อคณะบุคคลที่โจมตีเธออย่างต่ำทราม

สิ่งที่ทำให้สังคมวิจารณ์คุณศิริโชคมากที่สุดคือพฤติกรรมหมิ่นประมาทผ่านทีวีแต่ขอโทษผ่านเฟซ

ไม่ต้องพูดถึงการลบคำขอโทษไปเฉยๆ โดยอ้างว่าไม่ได้ตกลงกับคุณยิ่งลักษณ์ว่าต้องขอโทษกี่วัน

ไม่มีใครทราบว่าคุณศิริโชคลบเฟซเพราะอายที่ต้องขอความเมตตาจากนายกฯ ยิ่งลักษณ์จนอยากปกปิดเรื่องนี้หรือไม่

แต่วิธีขอโทษแบบลับๆ ล่อๆ ทำให้คุณศิริโชคถูกมองว่าเป็นโมฆะบุรุษที่ไม่สำนึกบุญคุณของบุคคลซึ่งการุณย์จนช่วยให้ไม่ต้องติดคุกหนึ่งปี, ครอบครัวไม่เดือดร้อน และไม่สูญเสียอนาคตทางการเมือง

วิธีขอโทษของคุณศิริโชคสะท้อนว่าคุณศิริโชคเป็นคนอย่างไร

แต่สิ่งสำคัญกว่าความเป็นคนของคุณศิริโชคคือวัฒนธรรมซึ่งทำให้สามผู้บริหารประชาธิปัตย์โจมตีนายกฯ ยิ่งลักษณ์ด้วยเรื่อง “ห้องนี้เอากันอยู่ หรือแขกก็เอากันอยู่ อ๊ะๆๆๆๆ” และ “ปูโฟร์ซีซั่นส์ ปู ว.5 ปูเอาอยู่” ผ่านสถานีโทรทัศน์ของพรรคตลอดเวลา

มองในแง่ภาพรวม สิ่งที่คุณศิริโชคกับพวกทำในกรณีนี้เป็นส่วนหนึ่งของวาทกรรมให้ร้ายที่พรรคพยายามสร้างว่าคุณยิ่งลักษณ์ไปโรงแรมแห่งหนึ่งด้วยเรื่องชู้สาว

ทั้งที่ข้อเท็จจริงซึ่งปรากฏในชั้นศาลคือนายกฯ ยิ่งลักษณ์ไปห้องอาหารเพื่อประชุมกับภาคเอกชนหลายคน ถึงจะไม่ได้แจ้งหมายให้สื่อทราบล่วงหน้าก็ตาม

ความสงสัยว่านายกฯ ไปทำไมและพบใครไม่ใช่ปัญหา แต่การปั่นกระแสว่านายกฯ ไปเพราะเรื่องเพศนั้นทราม

พูดตรงๆ วิธีที่คุณศิริโชคและพวกโจมตีนายกฯ ยิ่งลักษณ์ในรายการเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2555 มีทิศทางไม่ต่างจากคำปราศรัยของคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ วันที่ 15 กันยายน 2556 ซึ่งพาดพิงประเด็น “กะหรี่” และ “อีโง่” เพียงแต่คุณศิริโชคและพวกมีชั้นเชิงในการเหยียดเพศและหมิ่นประมาทน้อยจนไม่รอดจากการถูกดำเนินคดี

ด้วยยุทธศาสตร์ใหญ่มุ่งโจมตีรัฐบาลเลือกตั้งทุกวิถีทาง ยุทธวิธีย่อยที่เกิดขึ้นก็คือการสร้าง Sex Scandal เพื่อปั่นข่าวฉาวให้นายกฯ ผู้หญิงอับอายและทำลายชื่อเสียงเธอไปด้วย

กระบวนการที่นักการเมืองกลุ่มนี้ทำจึงเป็นอิฐก้อนแรกให้ กปปส. และกองหนุนระบอบ คสช.กระทำแบบเดียวกันต่อคุณยิ่งลักษณ์จนถึงปัจจุบัน

ถ้าความเงียบของคุณศิริโชคใต้ระบอบ คสช. คือหลักฐานของการเล่นการเมืองที่กล้าตรวจสอบแค่รัฐบาลเลือกตั้ง

การโจมตีนายกฯ ยิ่งลักษณ์ด้วยเรื่องเซ็กซ์ก็คือหลักฐานของบุคคลและพรรคซึ่งกระหายจะแย่งอำนาจรัฐบาลจากการเลือกตั้งโดยใช้ความเท็จ, หมิ่นประมาท และการใส่ร้ายป้ายสีทางเพศเป็นเครื่องมือ

วิธีที่คุณศิริโชคและพวกโจมตีคุณยิ่งลักษณ์ วางอยู่บนวิธีคิดว่าประชาธิปัตย์แพ้เพื่อไทยเพราะเหตุผลเรื่องตัวบุคคล

ยุทธวิธีล้มรัฐบาลเลือกตั้งจึงดำเนินไปโดยมุ่งทำลายชื่อเสียงผู้นำจากการเลือกตั้งตั้งแต่ปั่นกระแสเรื่องโง่, ชนะเลือกตั้งเพราะพี่, พูดอังกฤษไม่ได้ ฯลฯ รวมทั้งเต้าข่าวฉาวเรื่องเพศแบบที่คุณศิริโชคทำ

มองในภาพกว้างขึ้นไป นายกฯ ยิ่งลักษณ์ถูกทำลายชื่อเสียงด้วยเรื่องเท็จเหมือนนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร โดนเรื่องสถาบันหรือนายกฯ สมัคร สุนทรเวช โดนเรื่องพระวิหาร

สถานะคุณศิริโชคในการโจมตีเรื่องเพศในปี 2555 เหมือนสถานะคุณปราโมทย์ นาครทรรพ กับการกุข่าวปฏิญญาฟินแลนด์ปี 2549 ซึ่งพัวพันกับการเต้าข่าวเพื่อผลทางการเมือง

ขณะที่ผู้ศึกษาการเมืองด้วยใจปกติเห็นว่าประชาธิปัตย์แพ้ไทยรักไทย/พลังประชาชน/เพื่อไทย เพราะไม่สามารถเสนอนโยบายที่ตรงความต้องการประชาชน

วิธีที่คุณศิริโชคและพวกโจมตีคุณยิ่งลักษณ์สะท้อนว่าประชาธิปัตย์ยังไม่ได้คิดแบบนี้ หรือไม่อย่างนั้นคืออาจไม่มีความสามารถสู้ด้วยนโยบายเอาเสียเลย

ด้วยสติปัญญาที่ต่อสู้กับเพื่อไทยโดยใช้เรื่องอวัยวะเพศทำลายคุณยิ่งลักษณ์

ประชาธิปัตย์ใต้ร่มเงาคุณศิริโชคไม่มีนโยบายที่ให้ประชาชนจำได้แม้แต่เรื่องเดียว

สองปีของการใส่ร้ายคุณยิ่งลักษณ์ซึ่งหน้าและสี่ปีของการโจมตีข้างเดียวผ่านไปโดยไม่มีใครรู้ว่าประชาธิปัตย์หลังปี 2554 เสนออะไรให้ประเทศไทย ประชาธิปัตย์อาจบอกว่าตัวเองเสนอประกันราคาข้าวและรถไฟความเร็วสูง

แต่ภาพที่ประชาชนจำได้มากกว่าคือประชาธิปัตย์ล้มจำนำข้าวและจัดม็อบขวางจ่ายเงินให้ชาวนา

ส่วนข้อเสนอเรื่องรถไฟความเร็วสูงก็ไม่มีอะไรจับต้องได้มากเท่าฝั่งเพื่อไทยที่เสนอกฎหมายก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญล้มล้างลงไป

คุณศิริโชคและคณะ “สายล่อฟ้า” เป็นตัวอย่างของนักการเมืองซึ่งเติบโตบนการทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามโดยไม่คำนึงถึงความชอบธรรม

วัฒนธรรมการเมืองแบบนี้ทำให้ประเทศเสียหาย ทำลายประชาธิปไตยรัฐสภา และที่น่ารังเกียจที่สุดคือทำให้การเมืองเป็นเรื่องของการแข่งพูดเท็จสร้างกระแสยิ่งกว่าพูดความจริง

ไม่มีหลักฐานว่าคุณศิริโชคและคณะทำการเมืองแบบนี้โดยคนอื่นในพรรครู้เห็นหรือไม่

แต่คุณศิริโชคและพวกเป็นผู้บริหารพรรคยุคที่คุณอภิสิทธิ์เป็นหัวหน้า

และสิบสองปีที่พรรคเล่นการเมืองแต่ยังแพ้ซ้ำซากควรเป็นโอกาสที่พรรคจะมีสติพอจะคิดว่าการต่อสู้ทางนโยบายสำคัญกว่าการทำลายล้างทางการเมือง พฤติกรรมทางการเมืองของคุณศิริโชคและพวกเป็นตัวอย่างของวัฒนธรรมการเมืองอัปลักษณ์ซึ่งเพิ่งเกิดขึ้นไม่นานนัก

การกำจัดวัฒนธรรมการเมืองแบบนี้เป็นเรื่องจำเป็น หาไม่ประชาธิปัตย์ก็จะเป็นได้แค่แบบหมอวรงค์หรือแบบคุณศิริโชค และอย่างดีที่พรรคทำได้คือป่วนรัฐบาลเลือกตั้งเพื่อให้ทหารครองเมือง