คิดถึงในหลวง : โดย วัชระ แวววุฒินันท์

วัชระ แวววุฒินันท์

เครื่องเคียงข้างจอ/วัชระ แวววุฒินันท์

 

คิดถึงในหลวง

 

วันที่ 13 ตุลาคม เป็นอีกหนึ่งวันที่ยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำของประชาชนคนไทย

โดยเฉพาะในวันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ.2559 นั้น เป็นวันที่เหมือนฟ้าถล่มลงทับหัวจิตหัวใจของคนไทยโดยสิ้น

สำนักพระราชวังได้มีแถลงการณ์ให้ประชาชนทราบว่า “ในหลวงรัชกาลที่ 9” ได้เสด็จสวรรคตแล้วเมื่อเวลา 15.52 น.

จริงๆ แล้วมีข่าวคราวกระเซ็นกระสายออกมาตั้งแต่ในวันที่ 12 ตุลาคมแล้ว แต่ทุกคนก็คิดเข้าข้างตนเองว่าเป็นเพียงข่าวโคมลอยข่าวหนึ่งเท่านั้น แม้ใจลึกๆ จะอดหวาดหวั่นมิได้

และในที่สุด ความจริงก็คือความจริง โดยเฉพาะความจริงของชีวิตที่กำหนดไว้ด้วยกฎเกณฑ์ของธรรมชาติว่า ไม่ว่าผู้ใดจะสูงศักดิ์หรือมีฐานะใดก็ต้องถึงวันสิ้นชีวิตลงเสมอกัน

เมื่อในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้จากพวกเราไปแล้ว ยังจำได้ถึงบรรยากาศแห่งความโศกสลดเศร้าอาดูรที่ปรากฏทั่วแผ่นดินไทย ไม่ว่าใครๆ ก็ร้องไห้ออกมา

เพราะนั่นคือความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงที่เกิดขึ้นกับคนไทย

 

เราคงไม่อาจลบภาพประชาชนแต่งชุดดำมาเฝ้ากันเนืองแน่นอยู่สองข้างทางจากโรงพยาบาลศิริราชมายังพระบรมมหาราชวังจากความทรงจำได้ เป็นบรรยากาศที่เงียบ สงบ มีแต่เสียงร่ำไห้ทั้งที่ดังออกมาและที่กลัดหนองอยู่ภายในใจ

ภาพขบวนนำพระบรมศพเคลื่อนมาตามทางเพื่อเตรียมจัดพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศล เป็นภาพที่ตอกย้ำว่าพระองค์ได้จากพวกเราไปแล้ว…จริงๆ

ยังจำได้ถึงความตั้งใจเดินทางมาถวายสักการะพระบรมศพที่พระบรมมหาราชวังของคนไทยในทุกพื้นถิ่น ไม่ว่าจะไกลใกล้แค่ไหน ที่มาจากดอยกันเป็นกลุ่มเป็นเผ่าก็มี เพราะในหลวงคือพ่อหลวงของพวกเขาที่ทำให้เขามีชีวิตที่ดีขึ้นเช่นทุกวันนี้

ยังประทับใจในความอดทนของคนไทยและชาวต่างชาติที่ยืนต่อแถวเป็นเวลาหลายๆ ชั่วโมง บางคนก็ครึ่งค่อนวันเพื่อที่จะได้มีโอกาสเข้าไปกราบพระบรมศพอย่างใกล้ชิด ไม่มีใครบ่น ไม่มีใครท้อ มีแต่น้ำใจไมตรีให้กันจากหน่วยงานต่างๆ องค์กรการกุศล และเหล่าจิตอาสาทั้งหลายที่ตั้งใจมาบริการอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย

ยังรู้สึกตื้นตันที่เหล่ามอเตอร์ไซค์มาบริการขี่ให้ฟรีๆ เพื่อนำคนเข้าไปใกล้พื้นที่พิธีให้มากที่สุด

ยังรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจที่เห็นจิตอาสาจากคนไทยที่ต่างคนต่างมา แต่ในความรู้สึกนั้นเหมือนทุกคนคือครอบครัวเดียวกัน

…ครอบครัวไทย

สื่อต่างๆ ได้รวมใจกันนำเสนอเรื่องราวของพระองค์ท่านในแง่มุมต่างๆ หลายๆ เรื่องเราท่านก็เพิ่งจะได้รู้ก็คราวนี้ หลายๆ เรื่องรู้แล้ว เคยได้อ่าน เคยได้ยินแล้ว แต่เมื่อได้มารับรู้อีกก็อดตื้นตันในพระอัจฉริยภาพและความเมตตาของพระองค์มิได้

ยังจำได้ถึงภาพที่หลายคนตั้งใจทำความดีเพื่อเจริญรอยตามพระองค์ท่าน

ยังจำได้ถึงปณิธานที่หลายๆ คนตั้งใจจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพื่อทำตนให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมและชาติบ้านเมือง

หากไปย้อนดู ย้อนศึกษา เราก็จะได้เห็นแนวทางในการดำเนินชีวิตดีๆ ที่พระองค์ได้เคยพระราชทานให้ไว้ในโอกาสต่างๆ ซึ่งตอนนั้นเราก็พากันบอกว่าจะน้อมนำเอามาเป็นเข็มทิศในการใช้ชีวิต

จากวันนั้นมา 1 ปี ในปี 2560 ความรู้สึกต่อพระองค์ก็ยังคงมีอยู่ ด้วยว่ายังอยู่ในบรรยากาศของงานพระราชพิธีต่างๆ ที่ทำให้เรารวมใจเพื่อถวายอาลัยแด่พระองค์ท่าน

ต่อจากนั้นเมื่องานถวายพระเพลิงพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ 9 ผ่านพ้นไป

ทุกอย่างก็กลับคืนมาสู่ความเป็นปกติชีวิตอีกหน

 

คนไทยก็กลับมาสู่การดำเนินชีวิตเฉกเช่นเดิมๆ เหมือนไม่เคยมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับพระองค์มาคอยสะกิด มาคอยเตือนใจให้คิดดี ทำดี

น่าแปลกใจที่เรายังเห็นคนที่เห็นแก่ตัวเอง โดยไม่สนใจคนอื่น ไม่สนใจส่วนรวม มักง่ายทั้งความคิดและการกระทำ ตัวอย่างเช่น เรายังเห็นคนขี่มอเตอร์ไซค์บนทางเดินเท้า โดยไม่สนใจเลยว่าคนที่เดินไปมาจะเป็นยังไง มันสมควรไหม มันผิดกฎหมายไหม

หรือพวกนั้นอาจจะไม่ใช่มอเตอร์ไซค์เดียวกับที่เคยเป็นจิตอาสาขนคนไปกราบพระบรมศพฟรีๆ อย่างมีน้ำใจเหลือเกิน

ถึงแม้จะไม่ใช่ แต่เขาเคยคิดไหมว่า พระองค์เคยสอนให้คนไทยอย่าเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว ให้เห็นแก่ส่วนรวม ต้องเคารพกฎหมาย ไม่เช่นนั้นบ้านเมืองก็จะไม่มีขื่อมีแป ความวุ่นวายก็จะเกิดขึ้น

เขาลืมไปแล้วหรือ…ง่ายดีจัง หรือวันนั้นฉันก็เศร้า แต่วันนี้ฉันขอทำตามใจไม่เห็นแก่ใครทั้งนั้น แล้วเช่นนั้น วันนั้นจะเศร้าไปทำไม หากไม่แปรความเศร้าเสียใจมาเป็น “หลักคิด” ในการดำเนินชีวิต

หรือการเขม่นกันง่ายๆ ยิงกันง่ายๆ ฆ่ากันง่ายๆ อยากรู้ว่าคนเหล่านี้ในวันนั้นเขาได้รู้สึกเศร้าเสียใจต่อการสวรรคตของพระองค์ท่านหรือไม่

ถ้ารู้สึกเศร้าเสียใจ บางคนก็อาจจะร้องไห้ออกมา แล้วเมื่อปาดน้ำตาแห้งลง ก็ลุกขึ้นมาดำเนินชีวิตอย่างไม่มีสติเช่นนั้นหรือ

ทั้งๆ ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้สอนให้เราเป็นคนมีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน พระองค์เองก็ได้ทรงปฏิบัติตนให้เป็นแบบอย่างตลอดมา แต่ทำไมถึงได้ขาดสติ ไม่มีเมตตากรุณาต่อคนอื่นได้ง่ายๆ เช่นนี้เลยหรือ น่าแปลกใจเสียจริง

 

ที่หนักเข้าไปอีกคือพวกข้าราชการทั้งหลาย ตนเองก็เคยเป็นข้าราชการในพระองค์ ที่ต้องทำงานแทนพระองค์ในการดูแลราษฎรให้อยู่ดีมีสุข ยิ่งต้องสนองพระบาทด้วยการเป็นข้าราชการที่ดี มีความซื่อสัตย์สุจริต ไม่โกงไม่กิน ไม่คอร์รัปชั่น

แต่เราได้เห็นข่าวการโกงกินเงินสวัสดิการคนยากคนจน โกงเงินคนพิการ คอร์รัปชั่นงานโครงการต่างๆ มากมาย

เราได้ยินเรื่องการฮั้วประมูล การเก็บเงินใต้โต๊ะ การเอารัดเอาเปรียบผู้ต่ำต้อยกว่าทางสังคม

การที่ข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่รัฐทำตัวเป็นศรีธนญชัยเพื่อเอาผลประโยชน์เข้าตัวและพวกพ้อง

สงสัยจังว่า ตอนที่ไปยืนแต่งชุดขาวหรือชุดข้าราชการร่วมกับหน่วยงานของตนเพื่อร่วมถวายความอาลัย ได้รู้สึกอะไรถึงพระองค์ท่านไหม คิดถึงแบบใด หรือเพียงแต่ โธ่…เศร้าเสียใจจังเลย ไม่อยากให้พระองค์จากเราไปเลย แล้วพอหายเศร้าก็คิดโกงกินดังว่า

เอ…อย่างนี้จะไปแต่งชุดข้าราชการเพื่อร่วมพิธีทำไมนะ

เอ…อย่างนี้จะไปเศร้าเสียใจร้องห่มร้องไห้ทำไมนะ

เอ…อย่างนี้จะเกิดมาเป็นคนไทยที่เคยอยู่ภายใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารของพระองค์ทำไมนะ

 

เชื่อว่าในช่วงวันที่ 13 ตุลาคมปีนี้ ก็คงจะมีการรำลึกถึงวันคล้ายวันสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ 9 แน่นอน และเราก็คงจะหวนคืนไปสู่ความเสียใจต่อการเสด็จสู่สวรรคาลัยของพระองค์ท่าน ความรู้สึกเศร้าสลดโทมนัสอาจจะหวนกลับมาอีกครั้ง

แต่อยากถามว่า แล้วยังไงต่อ…

แค่คิดถึงพระองค์ แค่เศร้าเสียใจ เท่านั้นหรือ…

ทำไมเราไม่มองให้ลึก คิดให้ซึ้งว่า พระองค์ได้ทิ้งมรดกทางความคิดที่ดีให้กับเราไว้อย่างไรบ้าง

แล้วเราก็ลุกขึ้นมาคิดดี ทำดี อย่างที่พระองค์ได้ทรงทำเป็นแบบอย่างมาตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์กันดีไหม

ยิ่งเขียนก็ยิ่งรู้สึกคิดถึง

คิดถึงในหลวงที่รักของเราเป็นที่ยิ่ง