ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 12 - 18 ตุลาคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | กรองกระแส |
เผยแพร่ |
กรองกระแส
2 แนวการเมือง
เผด็จการ ประชาธิปไตย
ผลผลิตจาก คสช.
มิใช่ว่าด้วยพลังของพรรคเพื่อไทย มิใช่ว่าด้วยพลังของพรรคอนาคตใหม่ มิใช่ว่าด้วยพลังของพรรคประชาชาติไทย จะก่อให้เกิดแนวรบ 2 แนวขึ้นในสมรภูมิการเลือกตั้งได้
ตรงกันข้าม บทบัญญัติของ “รัฐธรรมนูญ” ต่างหากที่เป็นปัจจัย
ตรงกันข้าม มโนและปณิธานทางการเมืองที่ต้องการในการสืบทอดอำนาจของ “คสช.” ต่างหากที่เป็นปัจจัย
ทุกอย่างเริ่มต้นจาก “รัฐประหาร”
ทุกอย่างเริ่มต้นจากความต้องการในการดำรงอยู่ในอำนาจ เริ่มต้นจากความรู้สึกหวงแหนต่ออำนาจอันได้มาจากกระบวนการรัฐประหารต่างหากที่นำไปสู่การยกร่างรัฐธรรมนูญเพื่อสนองตอบต่อเจตจำนงทางการเมือง
และนั่นแหละคือรากฐานและต้นตออย่างแท้จริง ก่อให้เกิดการแบ่งแยกระหว่างฝ่ายที่ต้องการสืบทอดอำนาจ กับฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการสืบทอดอำนาจ
ยิ่งใกล้วันเลือกตั้งก็จะเกิดแนวรบ 2 แนวขึ้นอย่างเด่นชัด ไม่มีแนวรบด้านที่ 3
แนวทาง คมช.
แนวทาง คสช.
แม้รัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 กับรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 จะมีจุดร่วมอย่างเดียวกันคือ การโค่นล้มและทำลายพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อไทย แต่ก็มีจุดต่างอย่างสำคัญในเรื่องของวิธีการและความเข้มข้น
หลังรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 คมช.ดำรงอยู่ในลักษณะชั่วคราว จากนั้นก็ร่างรัฐธรรมนูญและมอบอำนาจให้กับพันธมิตรอย่างที่เรียกว่า “แผนบันได 4 ขั้น”
แม้ในการเลือกตั้งเมื่อเดือนธันวาคม 2550 จะล้มเหลว
แต่ด้วยการเคลื่อนไหวของเครือข่ายไม่ว่าจะโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและยึดกุมแนวทางตุลาการภิวัฒน์ ในที่สุดก็โค่นรัฐบาลพรรคพลังประชาชนได้ในเดือนพฤศจิกายน 2551 และองค์ประกอบตาม “แผนบันได 4 ขั้น” ก็สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้อย่างที่เรียกว่าจาก “ค่ายทหาร”
ชัยชนะจากการล้อมปราบในเดือนเมษายน พฤษภาคม 2553 อาจทำให้เกิดความมั่นใจจึงได้มีการยุบสภา แต่แล้วการเลือกตั้งในเดือนกรกฎาคม 2554 ก็ซ้ำรอยเดิมอีกด้วยชัยชนะของพรรคเพื่อไทย จึงมีความจำเป็นต้องก่อการเคลื่อนไหวผ่าน กปปส. และลงเอยด้วยรัฐประหารเดือนพฤษภาคม 2557 พร้อมกับการสรุปบทเรียนและยกระดับให้เข้มยิ่งกว่ากระบวนการของ คมช.
นั่นก็คือ คสช.เข้าดำรงตำแหน่งทางการเมืองด้วยตนเอง เผด็จการอำนาจและดำเนินการผ่านการยกร่างรัฐธรรมนูญอย่างเข้มข้น ที่สำคัญคือไม่วางมือจากอำนาจเหมือนกับยุค คมช. หากแต่แน่วแน่ในการสืบทอดอำนาจอย่างเต็มพิกัด
คสช.แปรเปลี่ยนจากที่เคยแสดงตนเป็น “กรรมการ” กลายเป็น “ผู้เล่น” ด้วยตนเอง
รัฐประหาร 2549
รัฐประหาร 2557
หากมองอย่างแยกส่วนคล้ายกับว่ารัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 เป็นคนละส่วนกับรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง เป็นเรื่องเดียวกัน เพียงแต่คนละเวลาเท่านั้น
หากมองผ่านเป้าหมายรัฐประหารเดือนพฤษภาคม 2557 ยังคงดำรงจุดมุ่งหมายเดียวกันกับรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 เพียงแต่เปลี่ยนจากพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน มาเป็นพรรคเพื่อไทยเท่านั้นเอง
องคาพยพทางการเมืองที่จัดตั้งขึ้นไม่ว่าผ่านพรรคพลังประชารัฐ พรรครวมพลังประชาชาติไทย พรรคประชาชนปฏิรูป พรรคพลังธรรมใหม่ พรรคพลังชาติไทย ล้วนแต่มีเครือข่ายทางการเมืองที่เคยมีบทบาทในรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 และรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 ไปมีบทบาทอยู่ด้วยทั้งสิ้น
การก่อรูปของพรรคเหล่านี้คือความเข้มของ คสช.ที่เหนือกว่า คมช. และเท่ากับเป็นการลงมาเล่นด้วยตนเองโดยตรง
เท่ากับทำให้แนวรบเดิมมีความเด่นชัดมากยิ่งขึ้น
ยิ่ง คสช.สำแดงเจตจำนงในการรักษาอำนาจและสืบทอดอำนาจแข็งแกร่งและมั่นคงมากเพียงใดยิ่งทำให้แนวรบ 2 แนวก่อรูปขึ้นอย่างเป็นระบบมากเป็นลำดับ เท่ากับเป็นการเสนอและก่อให้เกิด 2 แนวทางการต่อสู้ทางการเมืองโดยอัตโนมัติ
1 แนวทางเอาด้วยกับ คสช. 1 แนวทางไม่เอาด้วยกับ คสช.
1 แนวทางเอาด้วยกับรัฐประหาร และ 1 แนวทางไม่เอาด้วยกับรัฐประหาร
การต่อสู้ 2 แนวทาง
ผลผลิตจาก “คสช.”
ท่ามกลางการเคลื่อนไหวของแต่ละพรรคการเมือง สถานการณ์จะค่อยๆ จัดระบบ วางแนวให้กับแต่ละพรรคการเมืองมากยิ่งขึ้น
1 ย่อมเป็นแนวของ คสช. 1 ย่อมเป็นแนวที่ไม่ใช่ของ คสช.
แนวทางแรกย่อมแสดงให้เห็นความล้ำเลิศ ความยอดเยี่ยมในผลงานตลอด 4-5 ปีของ คสช. แนวทางหลังย่อมแสดงให้เห็นความบกพร่อง อ่อนด้อย และความล้มเหลวตลอด 4-5 ปีที่ขึ้นมามีอำนาจของ คสช.
เป็นการต่อสู้ทั้งในพรมแดนทางเศรษฐกิจ เป็นการต่อสู้ทั้งในพรมแดนทางการเมือง และก็ขมวดไปยังผลึกในทางความคิดรวบยอด
นั่นก็คือ ความคิดเผด็จการ กับความคิดประชาธิปไตย