ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 5 - 11 ตุลาคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | อะไร(แม่ง)ก็เป็นศิลปะ |
ผู้เขียน | ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์ |
เผยแพร่ |
ช่วงที่ผ่านมาเราเล่าเรื่องราวของศิลปินร่วมสมัยกันไปหลายตอนแล้ว
เพื่อเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศ ในตอนนี้เลยจะขอเล่าถึงเรื่องราวของศิลปินชั้นครูในยุคเก่าก่อนกันบ้าง
และศิลปินที่เราจะกล่าวถึงนี้ก็เป็นหนึ่งในศิลปินเอกผู้ยิ่งใหญ่ของโลก
เขาผู้นั้นมีชื่อว่า
ฟรานซิสโก โกยา (Francisco Goya) (1746-1828)
หรือในชื่อเต็มว่า ฟรานซิสโก โฆเซ่ เดอ โกยา อี ลูเซียนเตส (Francisco Jos? de Goya y Lucientes)
ศิลปินชาวสเปนแห่งยุคโรแมนติก
ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นศิลปินคนสำคัญที่สุดของสเปนในช่วงปลายยุคศตวรรษที่ 18 และต้นศตวรรษที่ 19
ตลอดอาชีพการทำงานอันยาวนาน โกยาประสบความสำเร็จอย่างมากในฐานะศิลปิน
เขาได้รับการกล่าวขานถึงในฐานะทั้งจิตรกรชั้นครูคนสุดท้ายแห่งยุคสมัยเก่า และจิตรกรผู้ก้าวหน้าคนแรกแห่งยุคโมเดิร์น
เขายังเป็นนักวาดภาพเหมือนบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุคสมัยของเขาอีกด้วย
ภาพเหมือนที่โด่งดังที่สุดของเขาคือภาพวาด La Maja Desnuda (ภาพเปลือยของมายา) (1797-1800) ซึ่งเป็นภาพวาดผู้หญิงเปลือย (ขนาดเท่าคนจริง) ที่ถือได้ว่าเป็นภาพวาดที่เปิดเผยจะแจ้งที่สุด
ภาพแรกในประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตก ที่ไม่แสแสร้งแกล้งเป็นภาพวาดเชิงสัญลักษณ์หรือตำนานเทพนิยาย
ภาพวาดนี้มีอีกเวอร์ชั่นชื่อ La maja vestida (มายาสวมเสื้อผ้า) (1800-1805) ที่นางแบบคนเดิม โพสท่าเหมือนเดิมแทบไม่ผิดเพี้ยน
ต่างกันตรงที่สวมเสื้อผ้าเต็มยศเท่านั้นเอง
ผลงานของโกยา นอกจากจะเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกอันรุนแรง ลึกลับ ฟุ้งฝันตามแบบศิลปะยุคโรแมนติกแล้ว ยังเปี่ยมไปด้วยแนวคิดที่ล้ำสมัยซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้กับศิลปินในยุคต่อมาอย่างสูง
นอกจากนี้เขายังเป็นศิลปินภาพพิมพ์ชั้นเยี่ยมที่ทำผลงานภาพพิมพ์ที่สำรวจจิตใจเบื้องลึกของมนุษย์ และแฝงประเด็นวิพากษ์วิจารณ์เสียดสีสังคมการเมืองออกมามากมาหลายชิ้น
ดังเช่นในผลงาน Los caprichos (ความเพ้อคลั่ง) ชุดภาพพิมพ์โลหะที่โกยาทำขึ้นในช่วงปี 1797 และ 1798 และตีพิมพ์รวมเล่มในปี 1799
ผลงานชุดนี้เป็นการวิพากษ์วิจารณ์ความโง่เง่าขลาดเขลา, ความงมงาย, ไร้ความสามารถ และขาดไร้เหตุผล ของชนเหล่าชั้นปกครองในสังคมสเปนที่เขาอาศัยอยู่อย่างแสบสัน
ถึงแม้โกยาจะมีตำแหน่งเป็นจิตรกรเอกผู้ทรงเกียรติแห่งราชสำนักสเปน แต่เขาก็เป็นศิลปินนักปฏิวัติ, นักบันทึกประวัติศาสตร์, นักวิพากษ์วิจารณ์สังคม และนักต่อต้านสงครามตัวยงอีกด้วย
ดังจะเห็นได้จากผลงานหลายชิ้นของเขาที่มุ่งเน้นในการแสดงออกถึงความทารุณโหดร้ายของสงคราม โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพวาด
The Third of May 1808 (1814)
ภาพวาดที่แสดงความโหดร้ายสะเทือนอารมณ์ของการสังหารหมู่ประชาชนโดยเหล่าทหารจากกองทัพของนโปเลียน ที่บุกเข้าโจมตีสเปนในปี 1808 ระหว่างสงครามคาบสมุทร (Peninsular War)
โกยาเปลี่ยนขนบในการนำเสนอจุดเด่นของตัวละครในภาพวาดภาพนี้ ด้วยการให้ผู้ชมมองตรงไปยังใบหน้าของเหยื่อที่กำลังตื่นตระหนกและหวาดหวั่นกับความตายที่กำลังคุกคาม แทนที่จะเป็นเหล่าทหารผู้รุกรานที่มองไม่เห็นใบหน้าชัดเจน
เขาถ่ายทอดห้วงขณะอันน่าสะเทือนใจ ด้วยแสงเงาที่ตัดกันอย่างเข้มข้นรุนแรง
ในจุดที่สว่างไสวที่สุดเป็นภาพของชายหนุ่มที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนผู้หวาดกลัว สายตาจ้องมองไปยังเหล่าศัตรูที่กำลังเล็งปืนหมายเอาชีวิตพวกเขา สองมือชูขึ้นเหนือหัวคล้ายกับยอมจำนน
แต่ในขณะเดียวกันเขาก็มีท่าทางราวกับพระเยซูกำลังถูกตรึงกางเขน
อีกทั้งบนมือขวาของเขายังปรากฏร่องรอยที่ดูคล้ายกับรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ (Stigmata) ซึ่งดูเหมือนกับว่า โกยาเปรียบภาพการสังหารหมู่ครั้งนี้กับการพลีชีพเพื่อไถ่บาปให้มวลมนุษย์ของพระเยซูก็ไม่ปาน
ภาพวาดของโกยาภาพนี้ แหวกขนบของภาพวาดแบบประเพณีทางศาสนาและภาพวาดสงครามตามแบบแผนอย่างสิ้นเชิง
ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในภาพวาดแห่งยุคสมัยใหม่ภาพแรก และเป็นผลงานศิลปะที่เรียกได้ว่าเป็นการปฏิวัติในทุกแง่มุมของการวาดภาพเลยก็ว่าได้
มันส่งอิทธิพลต่อศิลปินรุ่นหลังมากมาย อาทิ ภาพวาด Massacre in Korea (1951) และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง Guernica (1937) ภาพวาดต่อต้านสงครามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของศิลปินเอกของโลกชาวสเปน ปาโบล ปิกัสโซ
นอกจากนั้นมันยังส่งอิทธิพลสู่ภาพวาดชุด The Execution of Emperor Maximilian ของจิตรกรชาวฝรั่งเศส เอดูอาร์ มาเนต์ อีกด้วย
ในช่วงวัยชรา หูซ้ายของโกยาหนวกสนิทจากอาการป่วย และต้องประสบกับความทุกข์ทรมานจากการรักษา
ประสบการณ์นี้ทำให้เขาตั้งคำถามอย่างจริงจังเกี่ยวกับความตายของตัวเอง
เขาปลีกตัวจากสายตาของสาธารณชนไปอาศัยอยู่ที่บ้านในกรุงมาดริดที่มีชื่อว่า Quinta del Sordo หรือ House of the Deaf Man (บ้านของชายหูหนวก) ที่ตั้งชื่อตามเจ้าของเดิมที่หูหนวก (บังเอิญว่าโกยาเองก็หูหนวกด้วยเหมือนกัน)
ที่นี่เองที่เขาวาดภาพในชุด Black Paintings (Pinturas Negras) ลงบนกำแพงปูนปลาสเตอร์ในบ้านจำนวน 14 ภาพ ในช่วงปี 1819-1823 นัยว่าเพื่อเป็นการบำบัดอาการป่วยไข้ โดยไม่ได้ตั้งใจจะนำออกแสดงต่อสาธารณชน และไม่มีหลักฐานว่าโกยาตั้งชื่อภาพเหล่านี้ด้วยซ้ำไป
ภาพวาดชุดนี้มีเนื้อหามุ่งเน้นในการแสดงอารมณ์หวาดผวา, ความหวาดกลัว, ความชั่วร้าย, อัปลักษณ์ และความวิปลาสวิปริตผิดเพี้ยนที่ซ่อนอยู่ภายในจิตใจมนุษย์
หลังจากที่โกยาเสียชีวิต ภาพวาดเหล่านี้จึงถูกตัดและลอกออกจากกำแพงลงมาติดบนผ้าใบ และตั้งชื่อใหม่โดยนักวิชาการศิลปะ หนึ่งในภาพวาดที่โด่งดังที่สุดในชุดนี้มีชื่อว่า
Saturno devorando a su hijo หรือ Saturn Devouring His Son (1819-1823) (แซตเทิร์นกัดกินบุตรชายของตัวเอง)
ภาพวาดชิ้นสำคัญอันสุดสยดสยองของเขาภาพนี้ ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากตำนานเทพปกรณัมกรีกโบราณของเทพไททันส์ “โครโนส” (หรือเรียกในภาษาโรมันว่าแซตเทิร์น) ผู้หวาดกลัวว่าบุตรของตนจะเติบโตขึ้นมาปล้นชิงราชบัลลังก์แห่งสรวงสวรรค์ตามคำทำนาย เขาจึงจับลูกๆ ของตนมากินทั้งเป็น!
ที่น่าสนใจก็คือ มีการค้นพบว่ารายละเอียดของภาพบางส่วนได้เสียหายไปมาก ส่วนหนึ่งเกิดจากการโยกย้ายภาพจากกำแพงลงบนผ้าใบ และส่วนที่เสียหายไปนั้น เดิมทีมีหลักฐานว่าเป็นส่วนล่างของภาพที่เป็นรูปอวัยวะเพศชายที่กำลังแข็งตัว (พูดง่ายๆ ว่า “จู๋โด่” อยู่นั่นแหละ) ซึ่งแปลว่าเทพแซตเทิร์นหรือโครโนสในภาพนั้นเกิดอารมณ์ทางเพศในขณะที่กำลังฆ่าและกินลูกตัวเองอยู่!
ซึ่งพ้องกับทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของซิกมุนด์ ฟรอยด์ (ที่ถือกำเนิดในภายหลัง) ที่ว่า “พ่อ” ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิด ในขณะเดียวกันก็เป็นผู้ทำลายด้วยเช่นกัน
มีข้อมูลเพิ่มเติมว่า ช่วงที่วาดภาพนี้โกยาป่วยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (น่าจะเป็นโรคซิฟิลิส) ซึ่งส่งผลกระทบทำให้ลูกที่เกิดมามีปัญหาทางสุขภาพและเสียชีวิตไปหลายคน ภาพวาดนี้เลยเหมือนการแสดงความรู้สึกเสมือนว่าเขากินลูกตัวเองจากความป่วยไข้ของตัวเอง
ว่ากันว่าโกยาอาจได้แรงบันดาลใจในการวาดภาพนี้จากภาพในปี 1636 ที่มีชื่อเดียวกันของปีเตอร์ พอล รูเบนส์ ปัจจุบันภาพวาดทั้ง 14 ภาพถูกแสดงเป็นคอลเล็กชั่นถาวรอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติปราโด (Museo del Prado) กรุงมาดริด, ประเทศสเปน
อนึ่ง ถ้าใครเคยอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นยอดฮิตอย่าง Attack on Titan เองก็ได้แรงบันดาลใจมาจากภาพวาดแซตเทิร์นกินลูก และภาพวาดยักษ์ในชุด The Colossus (1808-1812) ของโกยานั่นเอง
บั้นปลายชีวิต โกยาอัปเปหิตัวเองออกจากประเทศสเปน เกษียณตัวเองไปอยู่ในแคว้นบอร์โดซ์ ประเทศฝรั่งเศส และทำงานชุดสุดท้ายของชีวิตที่นั่น จนกระทั่งเสียชีวิตในปี 1828 ในวัย 82 ปี ร่างของเขาถูกฝังอยู่ที่นั่นระยะหนึ่ง ก่อนที่จะถูกย้ายไปฝังในโบสถ์ St.Anthony of La Florida ในกรุงมาดริด
ที่ที่เขาเคยฝากผลงานทิ้งเอาไว้นั่นเอง