ทราย เจริญปุระ : ที่ว่างในไดอารี

วันเดือนปีผ่านไป

แต่หลายอย่างในตัวเรากลับแน่นิ่งอยู่ที่เดิม

ไม่เติบโตตามกาลเวลา

หลังๆ เห็นคนถามกันอยู่เรื่อยๆ ว่าอยากกลับไปพูดอะไรกับตัวเองตอนยังเด็ก อยากให้เปลี่ยนอะไร อยากให้กำลังใจยังไง อยากจะห้ามปรามสิ่งใด

ฉันก็เคยถูกถาม และผ่านการคิดถึงคำตอบของมัน

อยากกลับไปพูดอะไรกับตัวเองตอนอายุ 20

อยากกลับไปแก้ไขอะไรไหม

ในนาทีที่ถูกถามและจ้องตารอคำตอบ ฉันคิดอะไรไม่ออก จึงตอบไปว่าไม่, ไม่อยากพูดอะไร ไม่อยากเปลี่ยนอะไร

และไม่ได้ตอบไปด้วยความเชื่อที่คนมักจะพูดกันว่า, สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วย่อมดีเสมอ

ไม่จริงหรอก

สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว มันก็แค่เกิดขึ้นแล้ว

จะดีหรือไม่ดี คืออะไรที่เราต้องรอคอย

“…ขอโทษด้วยที่เขียนจดหมายมาอีกแล้ว จดหมายกระตุ้นให้เกิดการทบทวนความรู้สึกภายใน ผมอาจทำให้พี่ต้องหม่นหมองซ้ำอีก

แต่ทำไมกันนะ ทำไมมนุษย์ถึงอยากสื่อสารบางอย่างให้ใครสักคนรับฟัง ผมไม่รู้หรอก เรื่องราวของผมคงถูกถ่ายทอดต่อสังคมแบบผิดๆ แต่ช่างเถอะ เพราะผมก็ยังไม่เข้าใจตัวเอง ว่าทำไมถึงทำแบบนั้น ทำไมจึงต้องถูกประหารชีวิต”*

ไดอารีเล่มนั้นเป็นเล่มที่ฉันอยู่กับมันนานที่สุด

เล่มที่จดจำที่สุดคือเล่มแรกในชีวิต ที่เขียนบันทึกต่อเนื่องไปได้ไม่เท่าไหร่ แม่ก็เอามาอ่านและเก็บถ้อยคำในนั้นมาล้อ

ฉันหยุดเขียนไปนาน

นานมาก

และตั้งใจว่าถ้าจะเขียนบันทึกอะไรอีก จะไม่มีใครได้ล่วงรู้ ว่ามันคือเหตุการณ์อะไร เกิดขึ้นเมื่อไหร่

กระทั่งว่าเรื่องนั้นมันมีอยู่จริงหรือเปล่า

จะไม่มีใครได้ล่วงรู้อีก

จนมาถึงเล่มนี้ ที่ชอกช้ำตามแรงมือจับ ยับเยินตามการถูกพับและจับซุกลงกระเป๋า

มันอยู่กับฉันมานาน แต่หน้ากระดาษยังคงมีที่ว่าง และบางหน้าก็เป็นแค่รอยเปื้อนก้นถ้วยกาแฟ

มีอยู่แค่นั้น

-คุณคงดูแลตัวเองให้อยู่ในความพอดีโดยไม่ลำบากยากใจเกินไปนัก เราต่างก็มีชีวิตอันสั้น…ไม่ยืนยงและไม่เคยยืนยาวเลย-

ฉันเขียนสิ่งนี้ไว้ในสมุด

ข้อความล่องลอยไม่ปะติดปะต่อ เขียนแบบไม่เรียงหน้า ไม่ระบุวัน โผล่วอบแวบอยู่ตามหน้านั้นหน้านี้

เบาะแสเดียวที่พอจะหาได้ คือหน้าตรงข้ามกับข้อความนี้ ระบุว่ามันคือปี 2544

17 ปีล่วงผ่าน

ฉันในวัย 21 ปีนั้นกำลังพูดถึงใคร

“ผมพลาดไปตั้งแต่ตอนไหนกันนะ

…แต่พอลองทบทวนดูเส้นทางชีวิตของตัวเองแบบนี้ ผมมักลงเอยด้วยความสับสน ว่าตัวเองผิดพลาดไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ผมลองย้อนไปในอดีตอันยาวนาน จนบางครั้งหดหู่เพราะรู้สึกว่าผมอาจมีทางเดียวคือต้องไปเกิดใหม่…บางทีชีวิตคนเราอาจเป็นแบบนั้นก็ได้ ต่อให้เลือกเส้นทางผิดพลาด ก็ต้องเฝ้าดูไปจนวาระสุดท้าย…อยู่กับสิ่งที่เรียกว่าตัวเราจนกว่าจะหมดลมหายใจ…ไม่รู้ผมคิดถูกหรือเปล่า”*

เราเขียนไดอารีไปทำไม มันยืนยันสิ่งที่เกิดขึ้นจริง หรือแค่บันทึกความรู้สึกของเราในวันนั้น

ที่เขียนมาทั้งหมดไม่ได้มีอยู่ในหนังสือนิยายที่ฉันกำลังอ่าน

แต่การฆาตกรรมนั้น ไม่ได้จำเป็นต้องมีเลือด

และมันอาจมาในรูปแบบใดก็ได้

แน่นอน, ว่ารวมถึงถ้อยคำ

ได้แต่ภาวนาให้ความตายหรือการจากลายื่นมือเข้ามาจัดการ

เพราะบางครั้งเราก็ไม่กล้าจะเลือกหนทางของตัวเอง

“ฤดูหนาวเมื่อเราพราก” (Last Winter, We Parted) เขียนโดย Fuminori Nakamura แปลโดย พรพิรุณ กิจสมเจตน์ ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 1 โดยสำนักพิมพ์กำมะหยี่, มิถุนายน 2561

*ข้อความจากในหนังสือ