ปิดคดีเขย่าสังคมไทย คุก10ปีลุงวิศวะยิงม.4 – ชดใช้ 3.4 แสน ชี้เตรียมปืน-จงใจวิวาท

สำหรับกรณีที่ลุงวิศวะ ยิงปืนใส่กลุ่มวัยรุ่นที่มีเรื่องกันเพราะเรื่องจอดรถขวาง ที่ตลาดอ่างศิลา จ.ชลบุรี

ส่งผลให้หนุ่มวัย 17 นักเรียนชั้นม.4 โรงเรียนดัง เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ

โดยคดีนี้ช่วงแรก สังคมโดยเฉพาะในออนไลน์ก็ออกแนวจะเห็นใจลุงวิศวะ เพราะเห็นว่าทำไปเพื่อปกป้องครอบครัว

แต่เมื่อมีคลิปฉบับเต็มตั้งแต่เริ่มทะเลาะเบาะแว้ง จนกระทั่งเตรียมปืนใส่กระสุน

กระแสก็เริ่มเปลี่ยน

จนกระทั่งเรื่องราวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ผ่านการพิจารณาของศาล

สุดท้ายมีคำพิพากษาจำคุกลุงวิศวะ 10 ปี เพราะเป็นการจงใจหาเรื่องวิวาท

และไม่ใช่การป้องกันตัว พร้อมให้ชดใช้ค่าเสียหายกับครอบครัวผู้เสียชีวิต

ผ่าคดีลุงวิศวะยิง ม.4

สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อช่วงค่ำวันที่ 4 ก.พ.2560 โดยตร.สภ.แสนสุข จ.ชลบุรี รับแจ้งเหตุยิงกันที่ถนนสายอ่างศิลา อ.เมือง จ.ชลบุรี

เมื่อรุดไปตรวจที่เกิดเหตุพบนายนวพล หรือปอนด์ ผึ่งผาย อายุ 17 ปี นักเรียนชั้นม.4 ถูกยิงด้วยปืน .380 ที่ราวนมข้างซ้าย กระสุนฝังใน นอนหายใจรวยริน และเสียชีวิตขณะนำส่งโรงพยาบาล

โดยผู้ก่อเหตุยืนรอมอบตัว ในสภาพสะบักสะบอม ซึ่งก็คือ นายสุเทพ โภชนสมบูรณ์ วิศวกรวัย 50 ปี ซึ่งให้การว่าเดินทางมาเที่ยวหาดบางแสน พร้อมกับครอบครัว ขากลับแวะซื้อของที่ระลึก แล้วเกิดทะเลาะกับกลุ่มวัยรุ่นที่เหมารถตู้มาจอดรถขวางที่สะพานปลาอ่างศิลา

ต่อมาขับรถมาทางเส้นอ่างศิลา-สุขุมวิท ก็เจอรถเก๋งวีออส และรถตู้คู่กรณีขับตามมา บีบแตรและเปิดไฟสูงใส่ เมื่อเห็นรถมูลนิธิจอดที่ตลาดอ่างศิลา จึงจอดรถเข้าไปขอความช่วยเหลือ แต่กลับถูกกลุ่ม วัยรุ่นกรูเข้าทำร้าย ชกที่หน้าจนแว่นตาตกแตก จึงหยิบปืนที่วางข้างลำตัวยิงใส่ไป 1 นัด แต่ไม่รู้ว่าถูกใคร พอรู้ว่ามีคนเจ็บก็รอมอบตัวกับตำรวจ

พร้อมกันนั้นก็มีการปล่อยคลิปจากกล้องหน้ารถ ตัดมาช่วงที่นายสุเทพจอดรถ แล้วกลุ่มวัยรุ่นลงมาตะโกนถาม “มึงเก๋าเหรอ” พร้อมท้าทายให้ลงมาจากรถ ขณะที่นายสุเทพพูดว่าผมมากับเมียกับแม่ ผมขอร้อง แล้วก็มีเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด แล้ว กลุ่มวัยรุ่นก็วิ่งหลบหนีไป

เพียงเท่านี้เหล่าลูกขุนออนไลน์ รวมทั้งดารานักแสดงดังต่างๆ ก็ออกมาตัดสินทันทีว่ากลุ่มวัยรุ่นเป็นฝ่ายผิดชัวร์ๆ

ผ่านไปอีกวัน เมื่อมีคลิปฉบับเต็มตั้งแต่ทั้ง 2 ฝ่ายทะเลาะกันเรื่องที่จอดรถ โดยรถตู้ของฝ่ายวัยรุ่นเข้ามาจอดขวางหน้า ทำให้รถของลุงวิศวะ ออกไม่ได้ จนเกิดตะโกนด่าทอกันด้วยคำหยาบคาย

พร้อมกับเสียงรูดซิปกระเป๋า แล้วภรรยาของวิศวกร ก็ถามว่า “พี่เอาปืนมาเหรอ”

จากนั้นวิศวกร ก็ตอบกลับด้วยความโมโหว่า “เตรียมไว้แล้ว ยิงกลับแม่งเลย”!!!

ก่อนที่จะเกิดเหตุวิวาทและยิงกันตายตามที่เป็นคดีความ

ทำให้บรรยากาศของผู้ที่ชอบตัดสินคนอื่นเบาบางลง

รอรับฟังการพิจารณาตามกระบวนการยุติธรรม

ศาลชี้จงใจวิวาท-ไม่คุมสติ

เช้าวันที่ 27 ก.ย. ที่ศาลจังหวัดชลบุรี ศาลอ่านคำพิพากษาคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2941/2560 ระหว่างพนักงานอัยการ เป็นโจทก์ น.ส.มณีพร ผึ่งผาย โจทก์ร่วม ยื่นฟ้องนาย สุเทพ โภชนสมบูรณ์ วิศวกร เป็นจำเลย ในความผิดฐานพกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร และความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา

ในคดีใช้อาวุธปืนยิงนายนวพล ผึ่งผาย หรือปอนด์ อายุ 17 ปี เสียชีวิต เพราะทะเลาะกันเรื่องจอดรถขวาง เหตุเกิดเมื่อค่ำวันที่ 4 ก.พ.2560 ใกล้ตลาดอ่างศิลา จ.ชลบุรี

โดยจำเลยรับสารภาพคดีพกพาอาวุธปืน แต่ปฏิเสธความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา พร้อมต่อสู้ว่าเป็นการป้องกันตัว

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า พยานหลักฐานรับฟังได้ว่า นายสุเทพ พกพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านและทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันสมควร โดยไม่ได้รับอนุญาต แล้วใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจริง

ปัญหาที่ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น เห็นว่าเหตุคดีนี้สืบเนื่องมาจากพวกของผู้ตาย ซึ่งเป็นคนขับรถยนต์ตู้ จอดรถที่หน้าร้านขายของฝากกีดขวางทางออกของจำเลย ทำให้เกิดมีปากเสียงกัน

แต่เหตุวิวาทจบลงไปภายหลังจากพวกของผู้ตายขับรถยนต์ตู้ และรถเก๋งออกไปโดยไม่ได้ท้าทายจำเลยอีก

หากจำเลยมีสติรู้จักยับยั้งชั่งใจ จอดรถรอสักพักหนึ่งก่อนเพื่อให้โทสะคลายแล้วค่อยขับรถออกไป เหตุคดีนี้คงไม่เกิดขึ้นแน่นอน แต่จำเลยกลับขับรถตามรถทั้ง 2 คันไปทันที ขับแซงรถยนต์ตู้แล้วบีบแตรยาวใส่ แล้ว ขับไปอยู่ด้านหน้า ชะลอความเร็วลงจนเกือบจะหยุดให้ชนท้าย

ทั้งภรรยาจำเลยใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ถ่ายภาพรถเก๋งของผู้ตาย ย่อมเป็นการท้าทายผู้ตายและพวกให้เกิดโทสะเข้ามาวิวาทกับจำเลย

เหตุที่จำเลยมีความฮึกเหิมกล้าท้าทาย ก็เนื่องจากจำเลยพกพาอาวุธปืนซึ่งบรรจุกระสุนไว้แล้วติดตัวไปด้วย และเตรียมอาวุธไว้ตั้งแต่ที่หน้าร้านขายของฝาก

บ่งชี้เจตนาของจำเลยว่าพร้อมที่จะสมัครใจวิวาท

เมื่อพวกของผู้ตายขับรถเก๋งมาถึงที่เกิดเหตุ จำเลยหักหัวรถกะทันหันในลักษณะปาดหน้า ขัดขวางไม่ให้รถเก๋งของผู้ตายขับต่อไปได้

แสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาวิวาทกับ ผู้ตายและพวกมาตลอดเส้นทาง

จำคุก 10 ปี-ชดใช้ 3.4 แสน

กระทั่งถึงที่เกิดเหตุซึ่งเป็นจุดสุดท้ายก่อนที่จะยิงกัน จำเลยก็ยังมีเจตนาวิวาทอยู่ เมื่อจำเลยเห็นว่าผู้ตายกับพวกมากันหลายคน ก็เริ่มเกิดความขลาดกลัว

แต่ยังคงพูดกับผู้ตายกับพวกด้วยน้ำเสียงและคำพูดในลักษณะไว้ท่าทีว่าจะเอาเรื่อง มิใช่คำพูดในทำนองขอโทษในการกระทำของตน หรือแสดงให้เห็นว่าไม่อยากมีเรื่อง หรือให้เลิกแล้วกันไป ประกอบกับจำเลยเตรียมอาวุธปืนไว้พร้อมยิงต่อสู้กับฝ่ายผู้ตาย

จำเลยจะอ้างว่ายิงผู้ตายเพื่อป้องกันสิทธิของตนไม่ได้ ทั้งไม่ปรากฏว่าผู้ตายกับพวกทำร้ายมารดา ภรรยา และหลานที่มากับจำเลย จึงมิอาจอ้างได้ว่าจำเลยยิงผู้ตายเพื่อป้องกันสิทธิของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายที่ใกล้จะมาถึง

จำเลยจึงมีความผิดฐานพาอาวุธปืนฯ และฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตามฟ้อง

แต่เนื่องจากจำเลยมิได้มีจิตใจเหี้ยมโหดเยี่ยงโจรผู้ร้าย เพียงแต่ขาดสติยับยั้งชั่งใจในการควบคุมตน จำเลยยิงปืนไปเพียง 1 นัด

หลังเกิดเหตุมิได้หลบหนีไปไหน และยอมรับกับเจ้าพนักงานตำรวจในทันทีว่าเป็นคนยิงผู้ตาย ประกอบกับผู้ตายมีส่วนร่วมในการ กระทำความผิด เห็นสมควรลงโทษจำเลยสถานเบา ฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา จำคุก 15 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 10 ปี ฐานพา อาวุธปืนฯ ปรับ 4,000 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงปรับ 2,000 บาท

รวมจำคุก 10 ปี และปรับ 2,000 บาท

ยกคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ของ น.ส.มณีพร ผึ่งผาย มารดา ผู้ตาย และให้ถือว่าน.ส.มณีพร อยู่ในฐานะผู้ร้องขอให้จำเลยชดใช้ ค่าสินไหมทดแทนเท่านั้น

ให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 340,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันยื่นคำร้องขอเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง

รวมเวลานับตั้งแต่คดีเกิดจนกระทั่งมีคำพิพากษาใช้เวลา 1 ปี 23 วัน

ทั้งนี้ศาลได้ให้ประกันตัวด้วยวงเงิน 6.7 แสนบาท ภายใต้เงื่อนไขห้ามออกนอกประเทศ

ต่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ต่อไป