ทวีปที่สาบสูญ : ในโลกแสนเศร้าใบนี้ โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์

ระริน…ฉันยินเสียงฉัน

เฝ้าพร่ำรำพัน ฉันปรารถนา

นางปันกลับมาอยู่บ้านแล้ว ในสภาพกึ่งซากในสายตาของทุกคน ยกเว้นเพียงอามินเท่านั้นที่ยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เสมอเมื่อเข้าใกล้ สักคำน้อย ไม่มีเอ่ยให้เสียกำลังใจ

เรารู้ว่านางปันได้ยินถ้อยคำดี นางมักกะพริบเปลือกตาช้าๆ บอกให้รู้ว่าเข้าใจในสิ่งที่พูดด้วย แต่แขนขาไม่ไหวติง เสียงจากลำคอก็เหือดหาย จากคนที่เคยนั่งบนตั่งมีสง่าราศี บัดนี้ เหลือเพียงสภาพร่างกายประหนึ่งหุ่นปั้น

เพียงแค่หุ่นตัวนั้นยังมีเลือดมีเนื้อ มีลมหายใจ

และมีกลิ่นสาบๆ ระเหยออกมาจากรูขุมขน

“เป็นยังไงบ้างวันนี้” อามินทักเสียงสดใส ลากเก้าอี้เข้านั่งใกล้เตียง

ลูบผมคนบนฟูก

“หน้าตาดีขึ้นมากเลยนี่ อีกไม่นานคงวิ่งปร๋อแล้วสิ”

นางฟ้าเหลียวมาสบตา ฉันยื่นมือออกไป แอบใช้ปลายนิ้วเกาะเกี่ยวกันเบาๆ

“อยากกินอะไรบ้าง จะได้ให้เด็กทำให้…อะไรนะ น้ำข้าวต้มอีกแล้วหรือ ไม่เบื่อหรือยังไง”

อามินทำเหมือนนางปันโต้ตอบอยู่ตลอดเวลา พูดเองเออเอง จากนั้น ยังเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้มากมายให้ฟัง ทั้งเหตุการณ์บ้านเมืองในข่าวหนังสือพิมพ์ ช่วงที่นางหลับใหลในโรงพยาบาล เรื่องงานในสวน ใครมาใครไป รวมไปถึงที่ว่า ตัวฉันเองยังไม่ไปไหน

“อีหนูก็อยู่ที่นี่แหละ เจ้าตัวร้ายนั่นอีกคน แต่ปันไม่ต้องห่วง พี่ดูแลได้หมด น้องอยากพักยาวๆ ก็เอาตามใจเลย ห้ามอย่างเดียว อย่าแอบลุกไปไหนเอง”

ฟังดูน่าตลก แต่ไม่มีใครขบขันเลยสักคน ยิ่งนางฟ้าด้วยแล้ว แทบจะตาแดงๆ ขึ้นมาอีก จนเริ่มมีเสียงคัดจมูกเบาๆ อามินจึงพูดขึ้นว่า

“อีหนูหิวข้าวเสียละมั้ง งั้นเราไปหาอะไรกินกันก่อน ให้ยายได้หลับเสียเต็มอิ่ม”

จากนั้น ก็ก้มลงพูดกับคนที่นอนนิ่งอยู่ว่า

“เดี๋ยวพี่มานะ ปันง่วงก็หลับเสีย พี่จะเปิดวิทยุไว้ให้”

บนโต๊ะเล็กมุมห้อง มีวิทยุใหม่เอี่ยมตั้งไว้ อามินเข้าไปจับซ้ายจับขวา เสียงครืดคราดบอกให้รู้ว่ากำลังหมุนหาคลื่นที่ถูกใจ ไม่นานนักก็มีเสียงเพลงลอดออกมา

…อยากมีชีวิตเหมือนถูกจุมพิต ดื่มด่ำซ้ำซ้อน เคล้าคลอนจนอ่อนใจฝัน…

ด้วยพรจุมพิตหวานชื่นชีวิต นิดหนึ่งหน่อยนั่น…1

นางฟ้ารีบลุกขึ้นจากเก้าอี้โดยเร็ว จ้ำออกห้องไป

 

“อาคะ…หนูทำแบบอาไม่ได้”

เสียงของนางฟ้าแว่วเข้ามาในห้อง

“อาเข้าใจ” เสียงอามิน “ไม่เป็นไรหรอก หนูทำดีที่สุดแล้ว”

คล้ายจะมีเสียงสะอื้นเบาๆ เหลือบดูคนบนเตียง คล้ายจะกะพริบเปลือกตาหลายครั้ง ฉันไม่แน่ใจแต่ก็ตัดสินใจลุกไปหับประตูให้แน่น

ก่อนจะกลับมานั่งข้างเตียงอีกหน

ใบหน้าของนางปันซูบผอมไปมาก แก้มที่เคยอวบนวลกลับขึ้นโหนกจนผิดตา กลิ่นสาบๆ ของยาที่รับไว้ในร่างกายยังรวยรินออกมาไม่หยุดยั้ง ผมเผ้าของนางหงอกขาวโพลนไปในชั่วข้ามเดือน

ไม่เหลือสภาพของคนที่ฉันเคยพบหน้า

“…พี่ปัน”

ฉันเรียกนาง อย่างที่นางอยากให้เรียก ยื่นมือออกไปจับมือเบาๆ

ปลายนิ้วนางวางทื่อ ไม่แม้แต่จะกระดิกได้

“ฉันเป็นหนี้บุญคุณพี่อยู่ ฉันจะไม่ลืมเลย…”

เปลือกตานั้นกะพริบอีก อาจเป็นสัญญาณว่าได้ยิน แต่จะเข้าใจหรือไม่…ฉันเองก็ไม่รู้

“อามินบอกว่าพี่จะต้องหาย…ฉันก็จะหวังและเชื่อแบบนั้น พี่ต้องหายนะ พี่รีบลุกมาเร็วๆ นะ”

เสียงประตูเปิดออกอีกคราว

“อ้าว ก็ว่าไปไหน ยังอยู่หรือ” อามินเดินกลับเข้ามา แต่ไม่มีนางฟ้ามาด้วย

“ฮะ” ฉันลุกขึ้น “…อาไม่กินข้าวหรือ”

“ยังไม่หิวหรอก ไปกินกันก่อนเถอะ ให้อาอยู่กับเขาอีกหน่อย”

“…ฮะ”

ฉันเลื่อนเก้าอี้กลับไปให้อามิน เกือบจะพ้นประตูห้องออกมาแล้ว เหลียวไปดู ก็เห็นอามินขยับเข้าไปใกล้ผู้ป่วย วางมือบนหัวนั้นอีก

เด็กสาวยืนเหม่ออยู่เพียงลำพังที่ระเบียงโถงนอก แสงแดดของวันส่องเข้ามากระทบไรผมข้างแก้ม ดูเป็นภาพงดงามเหลือจะเอ่ย หากใบหน้าที่สร้อยเศร้านั้น กับวับวาวเอ่อคลอในตา ก็ทำให้อกใจของฉันพลอยเจ็บร้าวตามไปด้วย

ความรู้สึกพุ่งประดัง อยากจะรัดร่างนั้นไว้ในอ้อมแขนแน่นๆ บ้าง

“พี่” เดินเข้าไปหาช้าๆ

ใบหน้าแสนสวยเหลียวมา ตาเปียกชื้นจนเห็นชัด

“พี่ร้องไห้หรือ”

นางฟ้าแค่พยักหน้า ฉันยื่นมือออกไป ปลายนิ้วเกี่ยวกันอีกหน

“เดี๋ยวยายก็หายนะพี่”

“…จะพูดแบบนั้นไปทำไม” นางฟ้าปล่อยเสียงสะอื้นเล็ดรอดออกมา “ยายไม่หายหรอก ยายไม่มีวันเหมือนเดิมอีกแล้ว!”

ฉันหมดสิ้นปัญญาจะโต้ตอบได้ อันที่จริง ลึกๆ เราก็ต่างรู้ว่ามันจะไม่มีวันที่อามินพูด นางปันคนเก่าหายสาบสูญไปแล้ว ทั้งๆ ที่ยังมีร่างกายเป็นตัวเป็นตน

คนคนหนึ่งได้พลัดพรากจากเราไปทั้งที่ยังอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน

ยังเห็นกันอยู่

ชั่ววูบหนึ่ง ความรู้สึกปลาบแปลบก็แทรกเข้ามาในหัวใจฉัน…แล้วตัวฉันล่ะ หายสาบสูญไปบ้างหรือยังจากใครๆ

พ่อแม่และผู้คนที่ฉันจากมาเล่า พวกเขาลืมฉันแล้วหรือยัง

เราต่างสาบสูญจากกันไปแล้วหรือไม่

มือเกร็งจับมือนางฟ้าแน่นเข้า เด็กสาวสบตา ฉันสิ้นไร้ความนึกคิดอีกครั้ง

 

ไม่ใช่จูบแรกในชีวิตของฉัน หากมันหมายถึงการที่ริมฝีปากแตะต้องกัน หากเป็นครั้งแรกอย่างแน่ชัดที่มีกระแสไฟไหลลั่นเปรี๊ยะอยู่อึงอลในหัวที่ว่างขาว เหมือนจะนานแทบขาดใจ ก่อนความหวานสุดหวานจะไหลซ่านอาบเข้ามา สัมผัสได้ว่าตัวของนางฟ้าเองก็สั่นสะท้าน

“พี่…” ฉันคราง

ไม่ลืมว่าเราอยู่ตรงไหน แต่ฉันไม่ใส่ใจอะไรอีกแล้ว ระเบียงที่กว้างโล่ง อาจมีใครแหงนเงยขึ้นมา หรืออามินจะเปิดประตูออกมายามใดก็ได้

ฉันไม่อาจจะผละจากได้แม้สักเสี้ยวนาที

ยามนั้นเองที่ฉันพลันตระหนักว่า จะไม่มีใครอื่นทำลายฉันได้เลย นอกเสียจากการทำลายตัวเอง ฉันไม่กลัวอะไรเลย แม้แต่การตกนรกหมกไหม้ ต่อให้ตายดับ…

“…คะเน”

นางฟ้าเรียกชื่อฉัน ด้วยนามที่ฉันตั้งให้ตัวเอง

อาจจะนั่นเอง ทำให้ฉันรู้แล้วว่าฉันยังทำอะไรได้อีก

 

ฉันผลักนางฟ้าลงบนเตียงสีขาว ห้องที่เรานอนด้วยกันมาหลายค่ำคืนก่อนนี้ แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย…จนกระทั่งบัดนี้ เสียงห้ามปรามและการดิ้นรนเหมือนไม่เต็มใจ แต่ฉันก็แน่ใจแล้วว่า นางฟ้าจะไม่ปฏิเสธฉันอีก

“…เรารักพี่เหลือเกิน”

ฉันซุกไซ้ใบหน้าลงไป และตะโบมมือไม้ทั่วทุกหนทุกแห่ง เท่าที่หัวใจจะสั่งความ

นางฟ้าบิดตัวเอี้ยวหนี ยิ่งทำให้เกิดช่องว่างระหว่างรังดุม ฉันกระชากกระดุมออก บดเคล้าใบหน้าลงไป

นางฟ้าตัวสั่นเสียยิ่งกว่าก่อนหน้า ใบหน้าแหงนเงย มือไม้ผลักไส น้ำตาของเธอยังเอ่อชุ่ม แต่บางหนแห่งอาจจะเริ่มฉ่ำเอ่อขึ้นมา ฉันพอมีประสบการณ์มาบ้างแล้ว

และอาจบางที นั่นคือแหล่งน้ำเดียวที่ฉันฝันหา

นางฟ้ากระเสือกกระสนอยู่บนฟูกนอน หัวไม่ได้อยู่บนหมอน เส้นผมรุ่ยร่ายกระจายแผ่เป็นแพ ที่ถักเปียก็คลายสิ้น ฉันกระซิบคำแล้วคำเล่าว่า…รักพี่

เรารักพี่

เรารักพี่เหลือเกิน

แล้วก็ฉกฉวยโอกาสจ้วงจาบโดยไม่ยอมฟังเสียงใดอีก ใช้แขนป่ายอ้อมขาให้ฉีกออก

 

…ฉันจะกินเธอไว้ไม่ให้เหลือสักหยด

จะกำซาบทุกรสซดด้วยความกระหาย

สิ่งเดียวจะพรากฉันนั้นย่อมแค่ความตาย

จะเจ็บร้าวมากมายเมื่อภายหลังช่างมัน

 

ฉันจะดื่มกินเธอทุกห้วงลมหายใจ

ฉันจะพาเธอไปสู่แดนห้วงสรวงสวรรค์…

 

แสงอาทิตย์สาดเข้ามาจนกะพริบตาแทบไม่ทัน ความหวานซ่านแหลมคมกรีดเข้าเหมือนมีด ในแสงอาทิตย์พร่างพร่า นางฟ้ายังอยู่ในมุมเดิมที่ข้างระเบียง เธอเพียงแต่เบิกตาน้อยๆ

“…คะเน”

ฉันรู้สึกตัวในบัดเดี๋ยวนั้น พลันเหมือนได้สติกลับคืนในห้วงหนึ่งที่พลัดหาย

ยกมือลูบริมฝีปาก ยังเพียงแต่แตกระแหงอยู่

“…เป็นอะไรน่ะ อยู่ๆ ก็ไม่พูดไม่จา ถามอะไรก็ไม่ได้ยิน”

หน้าฉันร้อนผ่าวขึ้นทันควัน…ทุกภาพ ยังชัดเหมือนได้เกิดขึ้นแล้วจริงๆ หากสุดท้าย มีแต่บทกวีที่กังวานแว่วไหลอยู่ในหัวตัวเอง…ที่จับต้องได้

“…ไม่มีอะไรพี่” ได้แต่รีบบอกออกไป

มีเพียงปลายนิ้วเท่านั้นที่ยังเกาะกันอยู่

“…พี่อย่าร้องไห้อีกเลยนะ” กลั้นใจพูดเบาๆ

“เราเป็นห่วงพี่”

“ขอบคุณ” นางฟ้าป้ายมือเช็ดตา

ยินเสียงประตูเปิดอีกครั้ง

“อามินจะมาแล้ว” ฉันกระซิบ “เดี๋ยวอาจะไม่สบายใจ”

 

อะไรกันบ้างหรือทำให้ฉันเติบโตขึ้นในชั่วเสี้ยวเวลา ท่ามกลางความโศกเศร้าและเรื่องร้าวทารุณทั้งปวง แม้แต่แผลเป็นของตัวฉันเอง ก็ยังฝังรอยอยู่บนใบหน้า

ฉันได้พบว่า การต้องพยายามยืนมั่นคงให้ได้ ยืดหลังและตั้งคอขึ้น ไม่ยอมให้น้ำตาไหลบ่าอีก เป็นเรื่องสำคัญเหลือเกิน

มีคนอื่นๆ ร้องไห้อยู่รอบตัวมากพอแล้ว

มันควรจะดีกว่าใช่ไหม ถ้าเราจะไม่ร้องไห้ไปตามๆ กัน

หรือมันอาจจะดียิ่งกว่า ถ้าเราจะเป็นใครสักคน…ที่ช่วยซับน้ำตาเหล่านั้นได้

เหมือนที่ฉันปาดนิ้วกับแก้มนางฟ้า

“เราไปกินข้าวกันนะพี่” ฉันเลียนเอาคำพูดและกริยาของอามินเข้ามาไว้ในตัวบ้าง

ดังเห็นอามินพูดกับคนบนเตียง

ใจพองฟูขึ้นเมื่อนางฟ้าพยักหน้า และรวบปลายนิ้วฉันไว้

เท่านั้นเอง…เท่านั้น ที่ฉันรู้สึกขึ้นอย่างท่วมท้นว่า ฉันจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป ฉันได้เหตุผลที่จะอยู่ต่อแล้ว ในโลกแสนเศร้าใบนี้