ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 5 - 11 ตุลาคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | ลึกแต่ไม่ลับ |
ผู้เขียน | จรัญ พงษ์จีน |
เผยแพร่ |
จู่ๆ อยู่ดีไม่ว่าดี “พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” อดีตขงเบ้งกองทัพ ผู้บัญชาการทหารบกเก่า อดีตนายกรัฐมนตรี ไปกินยาผิดซองมาอะไรหรือเปล่า ลุกขึ้นมาเสนอไอเดียอันวิลิศมาหรา ว่า
ผลสืบเนื่องมาจาก “รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2560” เมื่อมีการเลือกตั้งแล้ว ก็ต้องจัดตั้งรัฐบาล ที่จะประกอบขึ้นด้วยพรรคการเมืองหลายพรรค ที่มีมากกว่า 20 พรรค เพื่อจะได้ไม่แตกแยก หรือหากฝืนใช้รูปแบบเดิม จะนำไปสู่การทะเลาะที่ไม่สิ้นสุด จึงคิดว่าการที่จะปล่อยให้มีการเลือกตั้งขึ้นเช่นนี้ อย่าให้มีเลย
“แต่ควรให้มีรัฐบาลเฉพาะกาลเข้ามาแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ใช้เวลาประมาณ 2 ปี แล้วนำรัฐธรรมนูญปี 2540 มาปรับปรุงแก้ไขและใช้แทนฉบับปัจจุบันก่อนที่จะเลือกตั้งใหม่ วันนี้ต้องเซ็ตซีโร่ เพื่อนำไปสู่สิ่งที่ถูกต้อง”
“วินิจฉัย” ที่มาได้ 2 ปัจจัย หนึ่ง “พล.อ.ชวลิต” หลังกลับมามีเสน่ห์หวือหวือ เกิด “โลกสวย” ประกาศแต่งงานใหม่สละโสดตอนไม้ใกล้ฝั่งอีกครั้ง สุขภาพสมบูรณ์พูนสวัสดิ์ เตะปี๊บดังปั๋ง แต่ “ป่วย” …ต้องพาไปหาหมอ
ประการที่สอง หากพิจารณาบทบาทของ “บิ๊กจิ๋ว” ที่ผ่านๆ มา แม้อายุขัยจะวัยปลายคน 80 กว่าปีเข้าไปแล้ว ผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยความโชกโชน การที่จะออกมาพูดอะไรที่ไม่เป็นสับปะรดขลุ่ยในสถานการณ์บ้านเมืองตกอยู่ในภาวะล่อแหลมอย่างนี้ย่อมไม่ได้ “ลุงจิ๋ว” ต้อง “มีของ” ไม่มีดีคงไม่มา…อยู่กระท่อมน้อยๆ จูจิ๊บ ปิ๊งกันลั่นเปรี้ยง ย่อมสนุกกว่า
ที่สำคัญคือ รายการนี้ “พล.อ.ชวลิต” ปกติแก่พูดจาสับสน ไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่คาบนี้ใจความกระชับ สั้น กะทัดรัด ไม่ต้องแปลไทยเป็นไทย
ที่สำคัญคือ การบ้านการเมืองว่าด้วยโหมดเลือกตั้ง “ยกระดับ” ใกล้ความเป็นจริงมากเข้ามาทุกขณะ ขนาดว่า “พรรคพลังประชารัฐ” พรรคนอมินีของ “คสช.” ได้ปล่อยของ ประกาศเปิดตัวออกมาอย่างเป็นทางการไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“4 รัฐมนตรี” ในคณะรัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ที่เปิดตัวต่างมีตำแหน่งแห่งหนในพรรคพลังประชารัฐ ทั้งหัวหน้าพรรค-รองหัวหน้า-เลขาธิการและโฆษกพรรค ส่งสัญญาณเชิงสัญลักษณ์มาเป็นหลักประกันว่า อีกไม่ช้าไม่นาน จะมีเลือกตั้งแน่
อีหรอบเดียวกับพรรคการเมืองอื่นๆ ไม่ว่า “เพื่อไทย-ประชาธิปัตย์-ภูมิใจไทย” ก็พากันขยับขับเคลื่อนกันด้วยความเสมอภาค ตามโปรแกรมที่คาดหมายไว้ในเบื้องต้น คือวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562
กระนั้นก็แล้ว แต่มีผู้คนอีกจำนวนมากยังไม่เชื่อว่า “จะมีเลือกตั้ง” …เพราะดังที่ทราบๆ นับตั้งแต่ “คสช.” ปฏิวัติ-ยึดอำนาจมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ปี 2557 “เบี้ยว” มาไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ แต่สุดท้ายก็ยกเหตุผลมาอ้างข้างๆ คูๆ เลื่อนโปรแกรมได้เรื่อยมา
ครั้งนี้ก็ยังสุ่มเสี่ยง ไม่มีอะไรแน่นอน ของมันเคย
อย่างไรก็ตาม แม้ตลาดการเมืองจะเปิด “คนเลือกตั้ง” เริ่มเคลื่อนไหวกันคึกคัก แต่มีเงื่อนไขที่ส่อเค้าเล่าอาการว่า โปรแกรมเลือกตั้งอาจจะต้องขยักอีกครั้งก็เป็นไปได้
กล่าวคือ “พรรคพลังประชารัฐ” ที่ลั่นกลองรบเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปแล้วนั้น ยังไม่ทันแตกใบอ่อน ก็กลายเป็น “บ้องกัญชา” ทำท่าจะยุ่งเป็นยุงตีกัน
เมื่อล่าสุดมีข่าวคลุกวงในระบุว่า “กลุ่มสามมิตร” ของ “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ-สมศักดิ์ เทพสุทิน” เกิดไม่สบอารมณ์โก๋ เกี่ยวกับการจัดพื้นที่ให้ผู้สมัคร ส.ส. มีสภาพลักลั่น ปีนเกลียวกันในหลายเขต
ซึ่งก่อนหน้านี้ “ส.สมศักดิ์-ส.สุริยะ” เดินสายประสานสิบทิศ เตรียมบุคคลไว้เรียบร้อยเกือบหมดแล้ว ทั้งในภาคอีสาน-เหนือ และภาคกลางบางส่วน
แต่มี “สายแข็ง” จิ้มให้ลง ทั้งเครือข่ายทหาร ที่ออกไปทำมวลชน และกลุ่มนักการเมืองอีกบางส่วน อาศัยความสนิทสนทนากับ “ผู้บริหารพรรค” เคยทับซ้อนพื้นที่ และทำท่าจะพูดจาภาษาดอกไม้กันไม่รู้เรื่อง
โอกาสที่จะ “วงแตก” แยกกันเดินตั้งแต่ฝนไม่ตก มีความเป็นไปได้สูง
ซึ่งแน่นอนว่า กรณีของ “กลุ่มสามมิตร” ก็เป็นเงื่อนไขหนึ่ง กลุ่มอื่นๆ ที่ทยอยเปิดตัวไปแล้ว และกำลังจะเปิดตัวในลำดับถัดไป มีสภาพที่ไม่แตกต่างกัน
“ฝัน” ที่เคยหวานว่า “พรรคพลังประชารัฐ” ซึ่งอุดมสมบูรณ์ทั้ง “บุคคล-กระแส” ต้องชนะศึกเลือกตั้ง แต้มเฉือน “พรรคเพื่อไทย” นาทีนี้อาจจะลมๆ แล้งๆ
สงครามเมื่อรู้ว่า “รบแล้วแพ้” จะสู้รบปรบมือให้เมื่อยตุ้มทำไม นี่ก็คือห้องเครื่องสำคัญที่ทำให้เกิดการคาดเดากันว่า โปรแกรมเลือกตั้ง ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องเลื่อนอีกครั้ง
กระนั้นก็ตาม เชื่อว่าหาก “คสช.” ของ “บิ๊กตู่” งัดลูกไม้เก่ามาเพื่อลากศึกเลือกตั้งออกไปอีก จะโดน “กระแสสังคม” กดดันหนัก แม้จะมี “ไอ้โอ๊บ” เป็นเครื่องทุ่นแรง แต่ก็เสี่ยง ครั้นจะไปใช้สูตร “พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” ตั้งรัฐบาลเฉพาะกิจ-เฉพาะกาล ก็ดูจะเกินไป
ต้องเลือกตั้งไปก่อน แต่กรณีที่เกิดเสียงกิ๊กๆ กั๊กๆ ก็สามารถใช้บริการ “ช่องทางที่ 2”
เป็นตามบทเฉพาะกาลในมาตรา 272 หากมีกรณีที่ไม่อาจแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีจากผู้ที่มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ “ไม่ว่าด้วยเหตุใด”
ให้สมาชิกกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมดเท่าที่มีอยู่เข้าชื่อเสนอต่อประธานรัฐสภา ให้รัฐสภามีมติยกเว้น เพื่อไม่ต้องเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีจากผู้มีรายชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้
ให้ประธานรัฐสภาจัดให้มีการประชุมร่วมกันของรัฐสภาโดยพลัน และให้รัฐสภามีมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมด “ให้ยกเว้นได้”
“ช่องทางที่ 2” คือที่มาของ “นายกรัฐมนตรีคนนอก” เสียงจาก 2 สภารวมกันเกิน 500 เสียง
ช่วงนี้ข่าว “นายกฯ คนนอก” หลังเลือกตั้ง แรงมากไม่น้อยเลยทีเดียว
ที่ “กระแสระอุผุด-ผุด มีอยู่ 3 คนด้วยกัน” ไผเป็นไผ ไว้คุยกันหลังไมค์