ครึ่งหนึ่งของชีวิต (11) “วาทกรรม-มายาคติของความรัก”

“มิใช่เพียงเราที่โดดเดี่ยวในความเดียวดายของตนเอง”

Roland Barthes : A Lover”s Discourse

การพรากจากกันในช่วงเวลาสำคัญมีผลต่อผมมาก อีกไม่กี่เดือน

โรงเรียนที่ผมทั้งอยู่ กินและเรียนรู้มาเนิ่นนานจะกลายเป็นเพียงอดีต

สิบปีไม่นับว่าน้อยเกินไปถึงแม้นว่ามันจะไม่อาจนับได้ว่ามากเกินไปเช่นกัน

ผมใช้วันเวลาที่เหลืออยู่ในโรงเรียนอย่างที่คิดว่าจะทดแทนเวลาที่เหลือในชีวิตให้มากที่สุด

ผมไปถึงโรงเรียนแต่เช้าตรู่ ก่อนเสียงออดเคารพธงชาติจะดังขึ้นนานนับชั่วโมง

เดินวนรอบสนามบอลที่วิ่งผ่านมันไปมาแทบทุกมุม

ผมเดินรอบรั้วโรงเรียนด้านหลัง เข้าไปในโรงครัว ซึ่งในชั้นประถม

แม่ครัวคนหนึ่งที่นั่นเคยช่วยเหลือผมจากความหิวโหยนอกเวลาอาหาร

ผมเดินไปยังเรือนพักคนงาน นั่งเล่นตรงบันไดไม้ที่เก่าง่อนแง่น

นึกถึงภารโรงคนแรกที่ผมรู้จัก กางเกงขาสั้นสีกากีเก่าคร่ำคร่าของเขา มืออันเหี่ยวย่นแต่แข็งแกร่งของเขา รอยยิ้มที่ใสซื่อของเขาเมื่อพบว่ามีเด็กชายคนหนึ่งแอบหนีชั่วโมงบ่ายมานอนเล่นบนระเบียง

ผมนึกถึงของเล่นชิ้นแรกของเขาที่เขาทำให้ผม แกนกิ่งของต้นฉำฉาที่ถูกตอกด้วยฝาน้ำอัดลมทั้งสี่ด้านจนกลายเป็นรถบรรทุกขนาดย่อม

ผมจำได้ว่าลากรถบรรทุกคันนี้ไปรอบบ้านเป็นเวลาหลายเดือนก่อนที่ล้อหนึ่งของมันจะพังทลายลง

น้ำตาที่ผมเสียให้กับมัน บัดนี้ผมไม่เพียงแต่สูญเสียรถคันนั้น แต่ผมกำลังจะสูญเสียความคุ้นเคยทั้งมวลที่นี่

มีความเศร้าปริมาณมหาศาลเกิดขึ้นเมื่อผมใช้วันเวลาเช่นนั้นเพื่อการอำลาสถานที่อันคุ้นเคย

แต่ทว่าความเศร้าทั้งมวลไม่อาจเปรียบเทียบได้กับการจากไปของเธอ กับการหายลับไปของเธอ

 

ชื่อหนังสือ A Lover”s Discourse ของโรล็องด์ บาร์ตส์ อาจทำให้เราเข้าใจผิดว่ามันเป็นเรื่องราวของความรักแต่เพียงถ่ายเดียว

แน่นอนมันเป็นเรื่องราวของความรัก หากแต่เป็นเรื่องราวของความรักในแง่มุมที่ไม่สมหวัง แรงปรารถนาอันพลุ่งพล่าน ความรู้สึกลุ่มหลง ความรู้สึกที่ไม่ได้รับการตอบสนองปรากฏอยู่ในงานเขียนชิ้นนี้ของบาร์ตส์ เขาพยายามถอดสลักกลไกแห่งความล้มเหลวในความรักทีละจุด อวดแสดงมันในมุมที่เราเองต้องถอนหายใจ

การแลเห็นตัวตนของเราตกอยู่ในถ้อยคำเหล่านี้ ถูกกักขังอยู่ในสภาพเหล่านี้ ทำให้เราได้ค้นพบตนเองอีกครั้งว่าเราเคยเจ็บปวดกับสิ่งที่เรียกว่า “ความรัก” มากเพียงใด

ความทรมานจากการไม่ยอมรับความจริงนั้นโหดร้ายกว่าความทรมานจากการจากลา ทุกคืนก่อนจะข่มตาหลับ คำถามจำนวนมากวนเวียนอยู่ในความคำนึงของผม ทำไมเธอจึงจากไป ทำไมเธอจึงยุติการรับสายของผม การติดต่อของผม การผูกสัมพันธ์ของผม เธอมีคนรักใหม่?

(เหตุผลนี้เป็นไปเพื่อปลอบใจตนเอง ข้อแรกเธอไม่เคยตกปากรับคำเป็นคนรักของผม ข้อที่สอง ข่าวลือที่ว่าเธอเริ่มผูกพันกับรุ่นพี่อีกโรงเรียนหนึ่งไม่เคยได้รับการยืนยัน)

เธอต้องการจดจ่อกับการสอบเรียนต่อที่จะมาถึงจริงหรือว่ามันเป็นเพียงข้ออ้าง

การจมอยู่กับความมืดมนของสิ่งที่ปราศจากเหตุผลเป็นความทรมาน

ผมนอนหลับในช่วงนั้นๆ หนึ่งชั่วโมงหรือสองชั่วโมง ก่อนจะตื่นขึ้นมาเพื่อนึกถึงเธอเป็นเวลานาน แล้วทิ้งตัวนอนอีกครั้งเพื่อตื่นขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา

วัฏจักรของความผิดหวังดำเนินไปเช่นนี้ (และนั่นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมไปถึงโรงเรียนเช้ากว่าใครๆ) น้ำหนักตัวผมลดลงอย่างรวดเร็ว อาหารถูกกินแต่เป็นไปอย่างไร้รสชาติ

บทเพลงถูกฟังและทุกเพลงเศร้าดูเหมือนจะถูกแต่งขึ้นเพื่อผม หนังสือถูกอ่านแต่ไม่มีสิ่งใดจดจำได้เลย

ทุกค่ำคืนผมจะเดินไปที่ตู้โทรศัพท์ตู้เดิม ยืนมองมันในความมืด ไม่มีความกล้าแม้แต่จะหยอดเหรียญ

ไม่มีความกล้าที่จะหมุนหน้าปัดโทรศัพท์หาเธอ ผมไม่อาจรับความผิดหวังจากการถูกปฏิเสธได้อีก

ข้อความจากปลายสายที่ว่าเธอไม่ต้องการพบผมอีกแล้วเป็นข้อความที่ได้ยินเพียงครั้งเดียวก็เกินพอ

ชายคนหนึ่งตกหลุมรักหญิงสาว “ฉันจะเป็นคนรักของคุณ” เธอบอก

“แต่คุณต้องพิสูจน์ความรักของคุณให้ฉันเห็นด้วยการนั่งรอที่เก้าอี้ในสวนของฉันเป็นเวลาหนึ่งร้อยวัน”

ในคืนวันที่เก้าสิบเก้า ชายหนุ่มผู้นั้นลุกขึ้นจากที่นั่ง โอบอุ้มเก้าอี้ของเธอไว้ใต้วงแขนแล้วเดินออกจากสวนของเธอไป

 

การรอคอย
Roland Barthes : A Lover”s Discourse

การรอคอยมีวันจบสิ้นไหม นั่นคือคำถามที่ผมถามตนเอง

จะมีวันใดที่ผมจะได้พบกับเธออีก

จะมีวันใดที่ผมจะได้สนทนากับเธออีก

จะมีวันใดที่ผมจะได้กลิ่นหอมจากเรือนกายของเธอ ได้เห็นรอยยิ้มของเธอ ได้สดับเสียงพูดอันอ่อนหวานของเธอ

วันแต่ละวันแห่งการรอคอยถูกถมทับด้วยความคิดคำนึงที่ไม่เป็นจริง ถูกเติมเต็มด้วยจินตนาการที่ข้องเกี่ยวกับตัวเธอ เด็กสาวที่ผมหลงรักอันมีตัวตนที่แท้จริงจางหายไปตามกาลเวลา

ผมพลัดตกไปสู่ความรักที่มีต่อรูปคำนึงของเธอแทน

วันสอบไล่มาถึง ผมพกรูปภาพของเธอไว้ในกระเป๋าเสื้อ ทำข้อสอบอย่างเต็มความสามารถ

วันแล้ววันเล่า จนการสอบไล่เสร็จสิ้นลง

วันสอบเข้าเรียนต่อยังโรงเรียนแห่งใหม่ ผมพกรูปภาพของเธอในกระเป๋าเสื้อ ทำข้อสอบวันแล้ววันเล่าจนเสร็จสิ้นลง

ผมจบการศึกษาจากโรงเรียนเก่าด้วยคะแนนที่สูงลิ่วและสอบเข้าโรงเรียนใหม่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในชั้นมัธยมปลายได้ตามที่หวัง

ทุกอย่างดำเนินไปข้างหน้า ดำเนินไปในอนาคต แต่เธอก็ยังไม่กลับมา

หลายเดือนผ่านมา การรอคอยจบสิ้นลง ผมไม่ได้เลิกรอคอยเธอ หากแต่ความรู้สึกที่มีต่อเธอกลับจืดจางไปตามกาลเวลา

คำกล่าวที่ว่าเวลาเยียวยาทุกสิ่งนั้นเป็นคำกล่าวที่เป็นจริง

บรรยากาศของโรงเรียนใหม่ เพื่อนใหม่ การเรียนที่จริงจังขึ้นเพื่อเตรียมตัวเข้ามหาวิทยาลัย สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้ความคิดคำนึงของผมที่มีต่อเธอถูกแย่งชิงพื้นที่ไป

ผมหลับสนิทลง ผมหลับลงโดยไม่นึกถึงเธอในกาลต่อมา

 

วันที่ผมได้พบกับเธออีกครั้งนั้นผ่านไปนับหกเดือน ในวันนั้นผมโดยสารรถประจำทางจากหน้าโรงเรียน รถประจำทางแล่นตรงเข้าสู่ถนนสุขุมวิท ผ่านสี่แยกราชประสงค์ จนถึงหน้าโรงเรียนสตรีแห่งหนึ่ง

สายตาผมที่มองลงไปยังถนนเบื้องล่างได้พบกับภาพของเธอ

เธอแลดูเป็นสาวขึ้นมาก ผมยาวขึ้นกว่าเดิมและถูกมัดเรียบร้อยด้วยโบสีน้ำเงิน

หน้าอกของเธอเด่นนูนกว่าเดิม ผิวของเธอนวลเนียนกว่าเดิม

หญิงสาวในอายุสิบหกปีแตกต่างจากเด็กสาวในอายุสิบห้าปีที่ผมพลัดพรากไปมากนัก

เธอเดินขึ้นมาบนรถประจำทางคันนั้นพร้อมกับเพื่อนกลุ่มหนึ่ง

และเมื่อเธอหันหลังมายังบริเวณท้ายรถ

เธอก็เห็นผม

 

ใน A Lover”s Discourse โรล็องด์ บาร์ตส์ เสนอให้เห็นว่าในที่สุดท้ายปลายถนนแห่งความรักนั้น เราจะได้พบแต่ความโดดเดี่ยว เป็นความโดดเดี่ยวขั้นสูงสุดที่ผู้ไม่เคยมีรักจะมีวันได้พบเจอ อันเป็นสิ่งที่หักล้างความเชื่อของเรา

บาร์ตส์ทำให้เห็นว่าความเชื่อที่ว่าความรักจะเยียวยาความโดดเดี่ยวและเดียวดายของเรานั้นเป็นเพียงมายาคติแบบหนึ่งเท่านั้นเอง

ความรักนั้นจบลงที่การอำลาอยู่ดีไม่ว่าจะเป็นการอำลาในขณะที่เรามีชีวิตอยู่ หรือเมื่อเราต้องจากโลกนี้ไป ระดับของความรักในความเห็นของบาร์ตส์ทั้งภาพแห่งความทรงจำของคนรัก การแสวงหาถ้อยคำมาพรรณนาบรรยายถึงคนรัก การจัดเรียงถ้อยคำเกี่ยวกับคนรักและสิ่งอื่นๆ ล้วนเป็นการเยียวยาเราจากความโดดเดี่ยวเดียวดายในความรักแทบทั้งสิ้น

ความรักทำให้ตัวตนของเราแตกกระจายเพราะการฝากฝังมันในอีกบุคคลหนึ่ง

และการพบว่าแม้เราเองก็ไม่อาจรักษาตัวตนของเราไว้ได้ช่างเป็นเรื่องน่าเศร้าเหลือคณา

 

เธอหยุดชะงักอยู่ชั่วครู่ ลังเลอย่างเห็นได้ชัด ผมเองก็เช่นกัน คนที่เราใฝ่ฝันทุกนาทีปรากฏขึ้นเบื้องหน้าอย่างฉับพลัน การต้องรับมือกับสิ่งนี้ไม่ง่ายดายเลย

ในที่สุดเธอเดินเข้ามาหาผม

เพื่อนของเธอหันมองตามมาอย่างใคร่รู้ คำแรกที่เอ่ยจากปากเธอคือคำว่าสบายดีไหม ถ้อยคำสามัญ แต่ทำให้ผมปวดร้าวไปทั้งตัว

“เธอหายไปเลย?”

เธอเอ่ยต่อ

ผมพยักหน้ารับ “เรียนที่ไหนแล้ว ตอนนี้” เธอถามก่อนจะเห็นเข็มโรงเรียนที่อกเสื้อของผม “เก่งจัง เราอยู่…โรงเรียนธรรมดา” ผมพยักหน้าอีกครั้ง

พยายามนึกหาคำพูด เธอแลดูเป็นธรรมชาติ เป็นอิสระในการพูดจากว่าผม ราวหนึ่งนาทีกว่าที่คำพูดแรกของผมจะหลุดจากปาก

“เราโทรศัพท์ไปหาเธอหลายครั้ง แต่แม่เธอบอกว่าเธอไม่ว่างเลย”

“ใช่” เธอรับคำ

“เราถูกแม่กักบริเวณเพราะผลการเรียน จริงๆ ก็ไม่มีอะไรมาก กฎเกณฑ์ไร้สาระ ห้ามรับโทรศัพท์จากเพื่อนต่างเพศทุกคน”

ผมมองหน้าเธอ ถ้อยคำของเธอบ่งบอกความจริงอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีการเสแสร้ง แม้โรงเรียนที่เธอเรียนอยู่ปัจจุบันก็เป็นโรงเรียนสตรีล้วน การกักบริเวณครั้งนี้ยาวนานกว่าที่คิด

“เราเฝ้ารอจดหมายของเธอ แต่ไม่มี ถ้าเธอติดต่อเราทางโทรศัพท์ไม่ได้ เธอก็น่าจะจดหมายหาเรา”

ผมชะงัก จริงของเธอ ทำไมผมถึงไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย

“แต่แม่เธอก็จะเห็นชื่อเราอยู่ดี”

“ตลกแล้ว เธอใช้ชื่อใครก็ได้เขียนจดหมายหาเรา มันไม่ใช่โทรศัพท์ที่ต้องแสดงตัวตนจริง แต่ช่างมันเถอะ เรื่องมันผ่านไปแล้ว เราจะลงไปเที่ยวศาลาไอศกรีมป้ายหน้า ไปด้วยกันไหม?”

ผมมองดูเพื่อนของเธอและตัวเธอ ผมอยากไปกับเธอ แต่มีบางสิ่งฉุดรั้งผมไว้ คำพูดของเธอ “เรื่องมันผ่านไปแล้ว” ผมอาจเริ่มต้นรู้จักเธอได้อีกครั้ง แต่ทุกอย่างคงไม่เหมือนเดิม ผมเป็นคนใหม่แล้ว เธอเองก็เป็นคนใหม่ ตัวตนเก่าของเราทั้งคู่ได้จบสิ้นไปในฤดูร้อนที่ผ่านมา

รถประจำทางจอดป้าย เธอกับเพื่อนเดินลงจากรถ ก่อนจะโบกมือให้ผมจากข้างล่างนั่น

รถโดยสารเคลื่อนจากไป การรอคอยจบสิ้นลง

เธอกับเพื่อนกลายเป็นจุดเล็กๆ ลงทุกที

ผมกระชับกระเป๋าเรียนไว้ในมือ วันนั้นเป็นวันที่เท่าไรนะ ผมถามตนเอง

ผมอยากจดจำมันไว้ อย่างน้อยมันก็เป็นวันสิ้นสุดการรอคอยของผม