ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 5 - 11 ตุลาคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | วิถีแห่งอำนาจ |
ผู้เขียน | เสถียร จันทิมาธร |
เผยแพร่ |
วิถีแห่งอำนาจ เอี้ยก่วย / เสถียร จันทิมาธร
ความหลัง ยังตราตรึง (159)
การมาของก๊วยพู้เพื่อตามหาก๊วยเซียงทำให้ความแจ่มชัดในสายสัมพันธ์ระหว่างก๊วยเซียง ก๊วยพู้ มีความแจ่มชัดขึ้นในความรับรู้ของเอี้ยก่วย
เป็นความแจ่มชัดอันทำให้ภาพเก่าเมื่อ 10 กว่าปีก่อนหวนคืน
“ที่แท้นางเป็นทาริกานางนั้นกลับเติบโตเจริญวัยถึงเพียงนี้ นางมาหาเรากลางวิกาลคงต้องมีเรื่องสำคัญ”
แต่เมื่อสอบถามสนทนาก๊วยเซียงก็บอกกล่าว
“ข้าพเจ้าอยู่ที่ท่าข้ามฮวงเล้งโต่วได้ยินผู้คนบอกเล่าวีรกรรมของท่าน ในใจบังเกิดความนิยมเลื่อมใสต้องการพบหน้าท่านสักครา นอกจากนั้น ไม่มีเจตจำนงอื่นใด ระหว่างที่จัดงานเลี้ยงในคืนนี้ข้าพเจ้าหวนนึกถึงคำพูดที่ว่า ‘ในโลกไม่มีงานเลี้ยงที่ไม่เลิกรา’ ในใจบังเกิดความอึดอัดกลัดกลุ้ม หาคาดไม่ว่างานเลี้ยงยังไม่เลิกรา ข้าพเจ้ามิอาจไม่ไปแล้ว”
เอี้ยก่วยรับฟังจนใจสั่นสะท้าน หวนนึกถึงวันที่นางถือกำเนิดเกิดมา เคยโอบอุ้ม ต่อสู้ช่วงชิงกับกิมลุ้นฮวบอ้วง ลี้มกโช้ว เคยจับมัดเสือดาวเพศเมียให้นางดื่มนม จากนั้น นำเข้าสู่สุสานโบราณชุบเลี้ยงอยู่นานวัน คิดไม่ถึงวันนี้พบกันใหม่เติบโตเป็นหญิงสาวอันเฉิดฉาย
“ตั่วกอ หลังจากที่ท่านพบกับฮูหยินแล้วขอเชิญมาเป็นแขกข้าพเจ้าในเมืองเสียนหยางได้หรือไม่”
เป็นคำเชิญอันทรงความหมาย เป็นคำเชิญที่เอี้ยก่วยต้องหมกมุ่น ครุ่นคิด
ได้ฟังดังนั้นเอี้ยก่วยแบ่งรับแบ่งสู้ “เมื่อถึงเวลาค่อยว่ากล่าวเถอะ” ขณะเดียวกันก็ร้องขอด้วยความระมัดระวังอย่างเป็นพิเศษ
“เซียวม่วยม่วย เรื่องที่เราท่านพบกัน
ทางที่ประเสริฐอย่าได้บอกต่อเจ้เจ๊ท่าน อืมม์… ทางที่ประเสริฐอย่าได้บอกต่อบิดา มารดาท่านด้วย”
“ข้าพเจ้าไม่บ่งบอกก็แล้วกัน” แม้จะสงสัย แต่เมื่อนึกคำนึงถึงท่าทีของเจ้เจ๊ ก๊วยพู้ ณ ท่าข้ามฮวงเล้งโต่ว ก๊วยเซียงก็เข้าใจ
เอี้ยก่วยจับจ้องมองนางตาไม่กะพริบ
ห้วงสมองกลับปรากฏภาพใบหน้าน้อยๆ ของทาริกาแรกเกิดซึ่งเคยอุ้มเมื่อ 15 ปีก่อน กิมย้งบรรยายฉากตอนนี้ด้วยความระมัดระวังและละเอียดอ่อนเป็นพิเศษว่า ก๊วยเซียงถูกเอี้ยก่วยจับจ้องจนเอียงอายอยู่บ้าง ก้มศีรษะต่ำลง
เอี้ยก่วยพลันบังเกิดความคิดดูแลนาง คุ้มครองนางขึ้น คล้ายกับปฏิบัติต่อทาริกาอันแบบบาง
“เซียวม่วยม่วย บิดาท่านเป็นยอดวีรบุรุษแห่งยุค ทุกผู้คนล้วนให้ความเคารพยกย่อง ท่านมีเรื่องราวใดย่อมไม่ต้องให้ข้าพเจ้ารับใช้ แต่เรื่องในโลกช่างแปรผัน โชคเคราะห์ยากระบุมั่น หากท่านมีเหตุที่ไม่คิดบอกต่อบิดา มารดาท่าน ต้องการผู้ช่วยอันใดขอให้ส่งข่าวมา ข้าพเจ้าจะจัดการให้แก่ท่านอย่างเรียบๆ ร้อยๆ”
นี่คือเยื่อใยอันเอี้ยก่วยมีต่อก๊วยเซียง
เป็นเยื่อใยอันสามารถเข้าใจได้เมื่อเอี้ยก่วยงอนิ้วนับคำนวณแล้วกล่าว “ปีนี้ท่านอายุ 16 แล้ว อืมม์ เมื่อถึงเดือน 9 เดือน 10 วันที่ 22 23 24 วันเกิดของท่านคือวันที่ 24 เดือน 10 ใช่หรือไม่”
“ใช่แล้ว ท่านทราบได้อย่างไร”
เอี้ยก่วยยิ้มเล็กน้อย กล่าวต่อไปว่า “ท่านถือกำเนิดในเมืองเสียนหยางหรือเซียงเอี้ยง ดังนั้น มีชื่อคำเดียวว่าเซียง ใช่หรือไม่”
อย่าได้แปลกใจหากก๊วยเซียงจะยอมรับ แต่ก็ยังสงสัย
“ท่านล่วงรู้ทั้งสิ้น แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้จักข้าพเจ้า วันแรกที่ข้าพเจ้าถือกำเนิดเกิดมาท่านก็อุ้มข้าพเจ้าใช่หรือไม่”
เอี้ยก่วยเคลิบเคลิ้ม เลื่อนลอย ไม่ตอบคำ แต่เงยหน้าขึ้นกล่าว
“เมื่อ 16 ปีก่อน วันที่ 24 เดือน 10 หาญสู้กับกิมลุ้นฮวบอ้วงที่เมืองเสียนหยาง เล้งยี้โอบอุ้มทาริกานั้น”
ก๊วยเซียงไม่เข้าใจว่าเอี้ยก่วยกล่าวอันใด
แต่เมื่อได้ยินในดงไม้บังเกิดการปะทะอาวุธดังออกมา สร้างความร้อนรุ่มใจ กริ่งเกรงเจ้เจ๊ถูกทำร้ายจึงต้องรีบกล่าวคำอำลาอย่างร้อนรน
มีความแจ่มชัดยิ่งต่อบทสรุปที่ว่า “ในโลกไม่มีงานเลี้ยงที่ไม่เลิกรา” เมื่อก๊วยเซียงพานพบกับเอี้ยก่วยในวันหนึ่งก็จำเป็นต้องจากพราก
ไม่ว่าจะอาวรณ์เพียงใดก็มีความจำเป็น
ความผูกพันระหว่างเอี้ยก่วยกับก๊วยเซียงเป็นความผูกพันอันละเอียดอ่อน 1 ซึ่งเกิดขึ้นกับเอี้ยก่วยใน 2 รายทาง
เหมือนกับมีนัยระหว่าง “ชาย” กับ “หญิง”
แต่เมื่อคลี่แบออก โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับความผูกพัน ล้ำลึกระหว่างเอี้ยก่วยกับเซียวเล้งนึ่งแล้วก็เด่นชัดว่าไม่ใช่
กระนั้น ภายในสัมพันธ์นั้นก็ลึกซึ้งอย่างยิ่ง