โลกหมุนเร็ว / เพ็ญศรี เผ่าเหลืองทอง/ปฏิวัติเงียบแบบหลวงพ่อชา

โลกหมุนเร็ว / เพ็ญศรี เผ่าเหลืองทอง [email protected]

 

ปฏิวัติเงียบแบบหลวงพ่อชา

 

ธรรมเป็นที่พึ่งเสมอสำหรับชาวพุทธ ปัญหาชีวิตทุกอย่างตั้งแต่เกิดจนตายแก้ได้ถ้าใช้ธรรมอย่างรู้จริง หลวงพ่อชาซึ่งเป็นหลวงพ่อที่ผู้เขียนเลื่อมใสพูดเสมอว่า อย่าเข้าใจแต่ธรรม ให้นำไปใช้จริง

เมื่อครั้งไปเยี่ยมวัดหนองป่าพง นานหลายปีนับจากที่หลวงพ่อชามรณภาพ ได้หนังสือคำสอนหลวงพ่อชามาหลายเล่ม หนึ่งในนั้นคือ “ความพอดี”

ซึ่งจะขอถ่ายทอดมาไว้ตรงนี้สักหน่อย

 

“ฉะนั้น พวกเราทั้งหลายนั้นจึงไม่ค่อยจะบรรลุธรรมกัน ไม่ค่อยมองเห็นธรรมกัน เป็นต้น มีแต่เรื่องเรียนธรรมกัน รู้ธรรมกันโดยผิวเผิน อธิบาย เป็นต้น คำพูดแยกแยะออกละเอียดมากซิกแซ็กเหมือนบ้านคนทุกวันนี้แหละ มันมีช่างมันหลาย สร้างบ้านทุกวันมันทำห้องไม่รู้ว่ากี่ห้องเขาเรียกว่าซิกแซ็ก จะหาที่นั่งก็ไม่ค่อยได้ หาที่นอนก็มีแต่ห้องทั้งนั้นแหละ อันนี้ก็เหมือนกันครับ คำพูดก็ยิ่งดีขึ้นโดยความนิยมของคน เป็นต้น แต่ความจริงนั้นไม่ค่อยจะมีครับ ที่ผมตามดูแล้วอย่างนั้น”

หลวงพ่อชาท่านกำลังบอกว่า ธรรมมันง่าย เหมือนบ้านที่ไม่ต้องมีห้อง นอนที่ไหนก็นอนได้ ไม่ต้องไปซอยห้อง ซอยแล้วก็ไม่รู้จะนอนตรงไหน

ท่านพูดถึง “ความนิยมของคน” และ “แต่ความจริงนั้นไม่ค่อยจะมี”

ใครจะคิดอย่างไรไม่รู้ แต่ผู้เขียนนึกถึงความนิยมของคนที่มีต่อวัดต่างๆ และคนก็นิยมไปทำบุญสร้างวัดกัน แต่สำหรับหลวงพ่อชา “ความจริงนั้นไม่ค่อยจะมี” คือคนไม่ค่อยจะเอาธรรมมาปฏิบัติกัน

ต่อมาท่านพูดว่า “ที่ผมตามดูแล้วอย่างนั้น อย่างนั้นผมจึงได้ปลีกตัวมาอย่างนี้ เพราะมันเห็นแยกเขาอย่างนี้ ผมก็ปลีกออกมา…อาศัยพระพุทธเจ้าเท่านั้นแหละครับ อาศัยข้อปฏิบัติน่ะ ตายก็ให้มันตายกับข้อปฏิบัติที่ได้เรียนมา ไอ้ที่ว่าหลงๆ เราไม่หลงหรอกครับ เราเรียนมาทั้งหมดนั่นแหละ”

เราจึงทราบกันว่าหลวงพ่อชาท่านเข้าไปปลีกวิเวกในป่าเพื่อจะปฏิบัติธรรม ต้องต่อสู้กับกิเลสต่างๆ ที่เห็นในมโนภาพ ความลำบากลำบนในป่า

และท่านก็เหมือนกับบรรดาครูบาอาจารย์ที่เรานับถือกันมาทุกวันนี้ แม้ว่าท่านเหล่านั้นจะมรณภาพไปแล้ว คือ “ปฏิบัติมันไป ตายเป็นตาย” หลายรูปเจอไข้ป่าเจียนตายอยู่ในป่า เป็นต้น

และท่านว่า “เรื่องพระวินัยนี่ทุกๆ คนเป็นครู เรียนกันมาทั้งนั้นแหละครับ ไม่ใช่ว่าไม่รู้นะ ที่คนไม่รู้นั่นก็เรียกว่าพระพุทธเจ้าไม่กลัวหรอกครับ ไม่รู้ท่านบอกให้รู้ก็ได้ ท่านกลัวแต่คนรู้แล้วไม่ทำ คือเป็นคนประมาท นี่ ไอ้พวกเรามันเป็นกันเสียอย่างนี้มาก”

“ฉะนั้น ผมจึงปลีกตัวออกมาจากพวกทั้งหลาย ปลีกตัวออกไปเพื่อมุ่งธรรมมุ่งวินัย มุ่งหาคำสอนพระพุทธเจ้า มุ่งหาโมกขธรรมต่างๆ ตามรอยพระพุทธเจ้า ที่ท่านทำมาอย่างไร ผมพยายามทำมาอย่างนั้นละครับ”

 

นี่คือสิ่งที่ผู้เขียนคิดว่าคือการปฏิวัติเงียบแบบหลวงพ่อชา ท่านไม่ชอบใจวิธีการของคนอื่นที่ทำกันท่านก็ถอยฉากออกมา มาปฏิบัติในทางของพระพุทธเจ้าแท้ๆ ไปปฏิบัติอยู่คนเดียว พอธรรมแก่กล้าก็มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย ไม่เว้นไทยหรือต่างชาติ ปฏิบัติกันไปทั่วโลก

ธรรมแบบหลวงพ่อชา ง่ายๆ ไม่เรื่องมาก แต่มันยากเพราะต้องทำจริง ทำแล้ว ทำอีก ฝึกฝน ฝึกฝน และฝึกฝน

มาคิดดูว่าการปฏิบัตินี้ไม่ต้องใช้ภาษาสื่อสาร เห็นเองจากการปฏิบัติ จึงไม่ต้องแปลกใจที่ท่านสอนคนต่างชาติต่างภาษาได้มากมาย ไม่ต้องเทศน์ แต่ทำให้ดูเลย

ผู้เขียนชอบเวลาไปวัดป่านานาชาติ สาขาวัดหนองป่าพง ที่จังหวัดอุบลราชธานี ที่ซึ่งธรรมมีชีวิตจากการปฏิบัติของลูกศิษย์ต่างชาติของหลวงพ่อชา เห็นผู้ทรงศีลต่างชาติ ชอบมองดูอิริยาบถที่งดงาม และสถานที่ร่มเย็น จำภาพภาพหนึ่งติดตาเมื่อนั่งอยู่ด้านข้างอุโบสถ มีเด็กชายคนหนึ่งนั่งคอยอยู่ตรงทางเข้าเป็นเวลานาน คิดว่าเขารออะไร ต่อมามีพระต่างชาติเดินมาถึง เขาก็เข้าไปล้างเท้าให้อย่างสงบเสงี่ยม เป็นภาพที่ประทับใจมาก

ของแท้ย่อมทนทาน ธรรมะที่เต็มไปด้วยเปลือกแตกสลาย เสื่อมโทรมไปเรื่อยๆ ดังที่เราเห็นกันอยู่ แต่ตัวธรรมะเองนั้นไม่เคยเสื่อมสลาย และผู้ที่ธำรงธรรมะของแท้ก็จะเป็นดั่งผู้สืบทอดและเผยแผ่ธรรมะ

ของแท้ไม่เลือกชาติเลือกภาษา ก็ปรากฏว่าลูกศิษย์หลวงพ่อชาที่เผยแผ่ธรรมะทุกวันนี้เป็นฝรั่งหลายชาติ ดูหลวงพ่อปฏิบัติแล้วก็ทำตามก็สามารถเข้าใจธรรมะคืออะไรได้ลึกซึ้ง พุทธศาสนิกชนไทยบางคนยังเลื่อมใสพระฝรั่งที่พูดไทยได้เสียอีก รู้สึกว่านี่ของจริง เป็นที่พึ่งพิงทางใจและทางปัญญาได้

 

อีกตอนหนึ่งที่หลวงพ่อชาพูดถึงความเงียบของวงการเมื่อเห็นผู้ทำไม่ถูกต้อง “กลุ่มศาสนาเรานี้ ไอ้คนนั้นทำผิดไม่กล้าตัดสินนี่ครับ ไม่กล้าทำนี่เพราะอะไร กลัว…ถ้าเขาพุ่งมาหาเราจะเป็นอย่างไร ก็เพราะเราก็เป็นอยู่อย่างนั้นนี่ ก็เลยไม่กล้าเลยครับ ก็เลยทิ้งกันไว้อย่างนั้นแหละ ไม่มีใครกล้าตัดสิน ไม่มีใครกล้าว่าอะไรครับ คนอื่นก็อย่างนั้น ตัวเราก็เป็นอย่างนั้น”

ท่านจึงตัดสินใจปลีกวิเวกไปตามลำพัง ซึ่งก็กลายเป็น “โชคดี” ของชาวพุทธที่ได้มีครูบาอาจารย์ที่สั่งสอนธรรมะให้เรา

แล้วในที่สุด “ไอ้คนที่ทำผิด” ก็ต้องมีผู้มีอำนาจบารมีเข้ามาจัดการหลังจากหลวงพ่อชาสิ้นไปแล้ว

ธรรมเป็นที่พึ่งเสมอ