รายงานพิเศษ : ความสำเร็จแบบ 9GAG จากออฟฟิศห้องแถว สู่เพจสุดฮาระดับโลก

อิสราชัย จงภัทรนิชพันธ์ / รายงาน


โลกออนไลน์กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันไปแล้ว หากจะกล่าวอย่างนั้น

และยิ่งแพลตฟอร์มดิจิตอลอย่างโซเชียลมีเดียเข้ามาเชื่อมทุกคนเข้าด้วยกัน ยิ่งเห็นได้ชัดถึงโลกอีกใบ ที่ทุกคนเข้าถึงข่าวสารมากมาย ในความสนใจหลายอย่าง

สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลย แม้แต่บนโลกแห่งความเป็นจริงนั้นคือ “เสียงหัวเราะ”

จากเดิมความตลกขบขันกลายเป็นสิ่งที่หาได้ทั่วไปตามรายการทีวีหรือวงสนทนา

แต่พอมีอินเตอร์เน็ตจนมาถึงโซเชียลมีเดีย ความโปกฮายิ่งมีมากขึ้นและหลายรูปแบบ

จนทำให้เกิดศัพท์ที่คุ้นและเรียกกันติดปากอย่าง “มีม” (Meme) หรือคำที่ถูกใช้อยู่แล้วอย่าง “แก๊ก” (Gag) ซึ่งหมายถึงมุขตลก

ในบรรดาจำนวนเพจที่เกี่ยวกับความตลกโปกฮานั้นมีมากมาย แต่มีไม่กี่เพจที่อยู่นานและเชื่อมต่อทุกคนทั่วโลกผ่านมุขตลกได้มากไป ว่า 9GAG

ปัจจุบัน 9GAG ครองใจผู้ชมทั่วโลก จากการจัดอันดับของอเล็กซ่าเมื่อปีที่แล้ว เพจ 9GAG อยู่ในอันดับที่ 242

ล่าสุดมียอดติดตามในเฟซบุ๊กถึง 39 ล้านแอ็กเคานต์ ในทวิตเตอร์ 14.8 ล้านแอ็กเคานต์ และในอินสตาแกรม 47.2 ล้านแอ็กเคานต์

ตัวเลขผู้ชมจำนวนมหาศาลนี้ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้น แต่เป็นการเดินทางอันยาวนานของเพจชวนขบขันที่เริ่มจากไม่มีอะไร จนกลายเป็นชุมชนของคนทั่วโลกที่อยากหาอะไรคลายเครียดหรือต้องการเสพความตลกโปกฮา

 

“เรย์ ชาน” หนุ่มชาวฮ่องกงและหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง 9GAG กล่าวว่า เพจ 9GAG จัดเป็นแพลตฟอร์มที่แบ่งปันความตลกขบขันในรูปแบบสื่อหรือรูปภาพต่างๆ

เป้าหมายของเราคือทำให้โลกมีความสุขมากขึ้น แม้สำนักงานหลักจะอยู่ที่ฮ่องกง แต่ด้วยฐานผู้ติดตามที่มีทั่วโลก ทำให้มีสำนักงานอีก 2 ที่คือสหรัฐและเยอรมนี

ไทยก็เป็นอีกประเทศที่เพิ่งก่อตั้ง ทำให้ตัวเองต้องมาเยือนเพื่อพบแฟนเพจ

หากถามว่าเพจ 9GAG ประสบความสำเร็จไหม?

เรียกว่าเกือบจะ เข้าใกล้สำเร็จจากสิ่งที่เราเริ่มต้นไว้หลายปีก่อน

นายชานกล่าวว่า ผมเกิดในครอบครัวที่ถ่อมตนมากบนเกาะฮ่องกง พ่อเป็นพ่อครัวอยู่ในภัตตาคารจานด่วน แม่ก็เป็นแม่บ้าน ผมถือว่าเรียนดีจนสามารถต่อเข้าวิทยาลัยได้ เข้าเรียนต่อด้านกฎหมายอย่างที่พ่อ-แม่หวังอยากให้เป็นทนายความ

ไม่รู้จะเรียกว่าโชคดีหรือร้ายกันแน่ ผมไม่ได้เรียนจริงๆ ต่อมาสนใจเรื่องสื่อแล้วพอเรียนจบก็เริ่มงานที่แรกในสถานีโทรทัศน์

จากนั้นทำงานต่อที่บริษัทอินเตอร์เน็ตในปี 2550 และขึ้นเป็นผู้จัดการโครงการดูแลเว็บเกี่ยวกับชุมชนข้อมูลให้กับคนรักหนังสือ

ตอนนั้นถือว่าได้เงินเดือนน้อยมาก ทำให้คิดว่ามีอะไรอีกมากที่อยากทำ ทำในสิ่งที่ดีกว่าและน่าสนใจกว่า

ระหว่างนั้นเองที่ได้เริ่มโปรเจ็กต์เล็กๆ ร่วมกับน้องชาย (คริส ชาน) และเพื่อนอีกคน ตอนนั้นประมาณปี 2551 เราได้เริ่มเปิดตัวโปรเจ็กต์นี้ในการโพสต์ภาพและให้ทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเครื่องสำอาง มาถึงจุดหนึ่ง เราหันกลับมาคิดทำอะไรที่ง่ายกว่านั้น ใช่แล้ว แบ่งปันภาพอะไรตลกๆ

นั่นจึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ 9GAG

 

นายชานกล่าวต่อว่า 3 ปีต่อมา เราเริ่มมีผู้ใช้งานในเพจ แต่บ่อยครั้งมุขตลกหลายอย่างใช้ไม่ได้ เราคิดแค่แชร์ภาพบนเว็บไซต์ เราจึงได้คิดอะไรที่เป็นประโยชน์มากกว่านี้

จากนั้นได้เดินทางไปยังสหรัฐและหาเพื่อนร่วมงานที่นั่นในปี 2011 หลังจากมีพนักงานแล้ว โปรเจ็กต์หลายอย่างที่เคยคิดไว้ก็หยุดทำ และมุ่งเน้นไปที่ 9GAG

“ตอนที่มาถึงสหรัฐใหม่ๆ ผมกับน้องชายจนมาก เราเช่าโรงแรมราคาถูกและอยู่ไปประมาณ 3 เดือน แล้วก็ย้ายไปพักที่ใหม่ ได้มีโอกาสใช้บริการจองโรงแรมผ่าน Airbnb ซึ่งตอนนั้นถือว่าใหม่มาก แต่ด้วยตัวเลือกที่ยังไม่มาก ก็ทำให้ได้ห้องเดียวนอนร่วมกันและทำงาน นึกถึงช่วงนั้นก็ตลกจริง เวลานอนอยู่แล้วมือไปสัมผัสร่างอุ่นๆ แต่ถือเป็นความทรงจำที่ดี” นายชานกล่าว

นายชานกล่าวถึงช่วงขยายตัวว่า จากนั้นเราได้มีการระดมทุนกัน จริงๆ ก็ประมาณนั้น แต่เวลาเราอ่านสื่อ มักจะสื่อว่าเราระดมทุนจำนวนมหาศาล เหมือนแกร็บหรือโกเจ๊ก แต่ว่าผมไม่ใช่คนดัง จนในปี 2556 เราได้การสนับสนุนจากนักลงทุนที่ดีในซิลิคอน วัลเลย์ จนบริษัทสามารถเดินหน้าไปได้และทำเพจเพื่อช่วยคน อย่างฮ่องกงเป็นประเทศที่มีคนรวยมหาศาล แต่พวกเขาร่ำรวยจากการขายที่ดินทำให้ต้องการธนาคาร แต่เราไม่ใช่ เรามีทรัพยากรน้อยมาก ถึงกระนั้นเรายังมีโชคเข้ามาที่พอพยุงบริษัทอยู่รอดได้

หลังจากระดมทุนได้สักพัก ผมเดินทางกลับฮ่องกง ที่เป็นสำนักงานแห่งแรก ในบ้านที่สภาพเป็นห้องแถวเล็กๆ คับแคบและเต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้แบบครอบครัวคนจีนที่ชอบเก็บทุกอย่างที่คิดว่ายังไงคงได้ใช้

ตอนเริ่มบริษัทช่วงๆ แรก มันไม่มีทรัพยากรมากหรอก นั่นทำให้หลายคนเลือกทำงานกันในบ้านหรือในแมคโดนัลด์ ตามแต่สถานที่จะอำนวยและมีไว-ไฟฟรี

นายชานกล่าวอีกว่า เวลาเราอ่านหนังสือหรือดูข่าว ผู้คนมักพูดว่า นี่บริษัทฉันทะยานเป็นจรวด กิจการไปได้สวย หรือเรากำลังประสบความสำเร็จอะไรแบบนี้ แต่สิ่งเหล่านี้ หลายคนที่ดูแลธุรกิจ ไม่ได้พุ่งโตเป็นจรวด แต่มันสลับขึ้น-ลง นี่เป็นความไม่เข้าใจอย่างมากเวลาเราอ่านผ่านสื่อ

เวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว สำนักงาน 9GAG ก็ขยายใหญ่มากขึ้นแต่เรามีพนักงานไม่มาก อย่างไรก็ตาม เราทำงานกันหนักมากจนไม่มีเวลาไปผับใกล้ๆ เราจึงใช้ชีวิตอยู่ในออฟฟิศ

แม้เราจะไม่ได้ฟุ่มเฟือย แต่เราก็มีเงินมากพอที่จ่ายให้กับพนักงานทุกคน

 

นายชานยังได้บอกเคล็ดลับที่ทำให้ 9GAG อยู่มาได้ถึง 10 ปี ว่า ผมมีสุนัข 2 ตัว ชื่อ กูเกิลและหมี่ (Mi ชื่อรุ่นสมาร์ตโฟนของเสี่ยวหมี) และนี่เป็นบทเรียน 3 อย่างจากสุนัขของผม

อย่างแรกคือ “หาบอลตัวเองให้เจอ” คนส่วนใหญ่ที่ประสบความสำเร็จมักชอบแบ่งปันประสบการณ์แล้วพูดกับคนอื่นว่า หาความหลงใหล (passion) หรือควรมีความฝัน หาความฝันให้เจอ อะไรแบบนี้

แต่จริงๆ แล้ว เมื่อเราทำงานไปได้ 4-10 ปี เราจะเริ่มพูดว่าฉันไม่ชอบงานที่ทำ ฉันแค่ชอบหาภาพตลกๆ ไม่ว่ากันหากบอกว่าชอบทำงานกัน 24 ชั่วโมง แต่ยกตัวอย่างคนที่ชอบกินไอศกรีม หากเรากินไอศกรีมทุกวัน คงได้ป่วยกันซักวัน แต่ลองคิดดู ผมชอบดูภาพ ชอบทำให้ทุกคนมีความสุข คุณแทบไม่ต้องหาความหลงใหลกับงาน แต่แค่หาสิ่งที่คุณรัก จำไว้ว่าคุณต้องทำงาน

สิ่งที่มากกว่าความหลงใหลคือคุณหาเป้าหมายให้เจอในชีวิตหรือการงาน บ่อยครั้งมักมีคนถามว่า อะไรคือเป้าหมายสูงสุดในชีวิต คนก็บอกว่ามีความสุข แต่คนเราไม่ได้สุขกันจริงๆ หรอก มีทั้งสุขอย่างทุกข์ทนหรือสุขภายใต้แรงกดดัน เราควรหาอะไรที่มีความหมายจริงๆ ไม่ว่าที่ไหน เพียงแค่วางเป้าหมายและทำมัน เหมือนอย่างสุนัขที่วิ่งไล่งับบอล

อย่างที่สองคือ “อยากรู้อยากเห็นเข้าไว้” เห็นจากเจ้ากูเกิลเอาหัวไปมุดอยู่ในกล่อง สุนัขเป็นสัตว์ที่ชอบเดินและค้นหา พอเอามาคิด สังเกตคนแก่บางคนที่ชอบพูดว่า “ฉันเคยเห็นมาก่อน” “ฉันเคยทำมาก่อนแต่ไม่ได้เรื่อง” เรากลายเป็นคนช่างสงสัยและชอบถากถาง แล้วก็มักได้ยินสิ่งที่พูดถึงคนรุ่นใหม่ว่าพวกเขาห่วย เอาแต่เล่นเกมอยู่ในบ้าน ไม่ไปทำนา แต่เดี๋ยวนี้พวกเขาทำนาบนคอมพิวเตอร์ ผมคิดว่าเราต้องอยากรู้อยากเห็นเสมอ เพราะว่าโลกเราเปลี่ยนตลอด อย่างเช่น ผมซื้ออุปกรณ์ชิ้นหนึ่งมา คนมักถามว่าใช้ด้วยเหรอ ผมตอบว่าไม่ได้ใช้ แต่แค่อยากรู้ว่ามันใช้งานยังไง

และอย่างที่สาม “ต้องมุ่งมั่นแน่วแน่” นั่นคือสิ่งที่เจ้ากูเกิลทำและมันไม่ถอดใจ ความแน่วแน่เป็นเรื่องสำคัญมาก ผู้คนมักชอบถามหาวิธีทำยังไงให้รวยในเวลาอันรวดเร็ว

แต่ไม่ได้ถามว่าต้องเจออุปสรรคความยากลำบากอะไรบ้าง

ทำไมบางบริษัทถึงได้ยิ่งใหญ่ เพราะพวกเขายืนหยัดบนความท้าทาย สำหรับคนที่ทำธุรกิจ ชีวิตไม่ได้ง่ายขนาดนั้น มีความท้าทายอะไรมากมายเข้ามา สิ่งที่ดีที่สุดไม่ได้มาในวันพรุ่งหรือวันถัดไป แต่เป็นวันนั้นในอีกหลายปี

จงแน่วแน่ แล้วคุณจะเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นได้