จรัญ พงษ์จีน : พรรคภูมิใจไทย กลายเป็นตัวแปร?

จรัญ พงษ์จีน

อาจจะเป็นเพราะศึกเลือกตั้งใหญ่เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ.2554 “พรรคภูมิใจไทย” หักปากกาเซียน เกิดสภาพพลิกล็อกวินาศสันตะโร ตั้งตัวเลขเอาไว้สูง ว่าจะกวาดที่นั่ง 2 ระบบทั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งและบัญชีรายชื่อได้ไม่ต่ำกว่า 60-70 ที่นั่ง

จะเป็น “พรรคตัวแปร” เข้าป้ายอันดับที่ 2 แล้วจับมือกับ “พรรคประชาธิปัตย์” ฟอร์มรัฐบาลอีกครั้ง

“ภูมิใจไทย” ในขณะนั้น นอกจากจะมี “เนวิน ชิดชอบ” ยืนเป็นเงาอยู่เบื้องหลัง มี “ปู่จิ้น-ชวรัตน์ ชาญวีรกูล” แล้ว มีอดีตแกนนำขาใหญ่จากพรรคพลังประชาชน หรือไทยรักไทยเก่า แหกด่านมะขามเตี้ย มาร่วมวงไพบูลย์มากมาย

ทั้ง “สมศักดิ์ เทพสุทิน-สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ-สรอรรถ กลิ่นประทุม-สุชาติ ตันเจริญ-ทรงศักดิ์ ทองศรี-อนุชา นาคาศัย” นำไปรวมกับอดีต ส.ส.เก่ากลุ่ม “เพื่อนเนวิน” อีก ตัวเลขกลมๆ ที่ตั้งเป้าไว้ไม่น่าจะพลาด

แต่เมื่อผลเลือกตั้งแล้วเสร็จ ผิดคาด “ภูมิใจไทย” ได้ ส.ส.เข้าสภาเพียง 34 คน จากเขตเลือกตั้ง 29 ที่นั่ง บัญชีรายชื่อ 5 ที่นั่ง

ด้วยประการดังกล่าว โชคชะตาเลยเปลี่ยน “ภูมิใจไทย” ต้องสัญจรไพรไปเป็น “ฝ่ายค้านร่วม” กับเกลอเก่า “พรรคประชาธิปัตย์”

ต่อมาแตกดังโพละ เมื่อ “ประชาธิปัตย์” เป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เมื่อปี 2555 แต่ “ภูมิใจไทย” มุ้งมัชฌิมา ไม่ร่วมสังฆกรรม ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจก็เลยแยกกันเดิน

ศึกเลือกตั้งรอบใหม่ “ภูมิใจไทย” เหลือแต่ป้อมค่าย “เพื่อนเนวิน” ภายใต้การกุมบังเหียนของ “อนุทิน ชาญวีรกูล” ลูกเลิฟปู่จิ้น จึงไม่ได้เป็น “ต้นไม้ใหญ่” ใบดก นกเกาะ ร้อนแรงเหมือนปี 2554

ปัจจัยหนึ่งมาจากแกนนำหลายซุ้มทยอยออกไปสังกัดพรรคอื่น เหลือแก่นหรือกระพี้ แล้วแต่พิจารณา เหนือสิ่งอื่นใดคือ “ผู้นำทัพ” ที่ชื่อ “เสี่ยหนู” ดูประหนึ่งว่าจะเป็นนักรบที่เท้าไม่อยากแตะสนามรบสักเท่าไหร่

แคแร็กเตอร์มิต่างอะไรกับ “พระเอกเจมส์บอนด์” สายลับมือทอง สมองเพชร ที่ผู้ชายหลายคนฝันจะมี “เสี่ยหนู” และแกนนำพรรค เดินสายต่อยอดทางการเมืองทุกรูปแบบ ทั่วทั้งประเทศ เหนือ-อีสาน-ใต้-ภาคกลาง

 

ศึกเลือกตั้งในต้นปี 2562 ดำเนินการภายใต้กติกาใหม่ แบบ “จัดสรรปันส่วนผสม” ทุกเสียงมีความหมาย จำนวน ส.ส. 2 ระบบ 500 ที่นั่ง ที่ปรับลดลงจากสัดส่วน เขตเลือกตั้งจากเดิม 375 ที่นั่ง เหลือ 350 ที่นั่ง เพิ่มบัญชีรายชื่อ จากเดิม 125 ที่นั่ง เป็น 150 ที่นั่ง

กติกาการลงคะแนนก็คนละรูปแบบ กาครั้งเดียวได้ทั้งคนและพรรค จากเดิมมีสองช่องให้กา เลือก ส.ส.ในเขตที่ตัวเองชอบ แล้วสามารถกาเลือกพรรคที่ตัวเองนิยม

และวิธีการนับจำนวนที่นั่ง ส.ส.ที่แต่ละพรรคจะได้ ก็ปรับลุคใหม่ กล่าวคือ ให้นำคะแนนรวมทั้งประเทศที่พรรคการเมืองทุกพรรคได้รับจากการเลือกตั้งแบบเขตเลือกตั้ง หารด้วย 500

สมมุติฐานว่า “ศึกเลือกตั้งกุมภาพันธ์ 2562” ประชาชนมาใช้สิทธิเท่าการเลือกตั้งเมื่อปี 2554 ร้อยละ 70 ตัวเลขกลมๆ ของผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งทั้งประเทศประมาณ 40 ล้านเสียง

นำไปตั้ง หารด้วย 500 อันเป็น ส.ส. 2 ระบบ ผลลัพธ์ออกมาที่ 80,000 เสียง ออกมาเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ 1 คน

จากนั้นนำ 80,000 เสียงไปหารจำนวนรวมทั้งประเทศของแต่ละพรรคการเมืองที่ได้รับ จากการเลือกตั้ง ส.ส.แบบแบ่งเขตทุกเขต ทุกเสียง ออกมาเป็นจำนวน ส.ส.ที่แต่ละพรรคพึงมี

“พรรคเพื่อไทย” เลือกตั้งเมื่อ 2554 ได้ ส.ส.แบบเขตเลือกตั้งมา 204 เสียง และได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อมาแบบไม่มีใครทาบ 61 ที่นั่ง จึงรวมเป็น 2 ระบบได้ ส.ส.265 เสียง

แต่กติกาใหม่ เพื่อไทยได้คะแนนตามสัดส่วนเดิม 18 ล้านเสียง เมื่อนำไปหารด้วย 80,000 จะได้จำนวน ส.ส.พึงมีแค่ 225 คน

กรณีที่ได้รับเลือกจากเขตเลือกตั้งมาแล้ว 204 เสียง เท่ากับว่าเพื่อไทยจะได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อแค่ 21 คน

ยิ่งได้ ส.ส.เขตเลือกตั้งมายิ่งมาก บัญชีรายชื่อยิ่งน้อย หรือไม่ได้เลย เพราะติดเพดาน “คะแนนพึงมี”

ด้วยเงื่อนไขแห่งกติการัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่เป็นมรรคผลให้อดีตนักเลือกตั้งค่ายเพื่อไทย แย่งที่จะลง ส.ส.เขตเลือกตั้ง มากกว่าบัญชีรายชื่อ เพราะมีโอกาสหลุดสนามแม่เหล็กได้

ขณะที่ “ภูมิใจไทย” ที่ตอนนี้แม้ดูจะเงียบๆ ไม่ค่อยจะมีอะไรหวือหวาน่าตื่นเต้นกับเขา ทำตัวดุจ “เสือซุ่ม” ซึ่ง “เสี่ยหนู อนุทิน” บอกว่า ลงพื้นที่มาทั่วประเทศ “พรรคเราส่งผู้สมัครครบทุกเขต”

ตัวเลขประมาณการที่พรรค “ภูมิใจไทย” จะได้รับ 50 ที่นั่ง จากเขตเลือกตั้ง 34 เสียง บัญชีรายชื่อ 16-20 เสียง

โดยสรุปตัวเลขกลมๆ ลงในรายละเอียดให้ดูชมเป็นหนังตัวอย่างว่า จังหวัดที่ “พรรคภูมิใจไทย” จะได้ที่นั่งแบบแบเบอร์

ประกอบด้วย “บุรีรัมย์-สุรินทร์” แบบกวาด 2 จังหวัด “นครราชสีมา” 4 ที่นั่ง “ชัยภูมิ” 2 ที่นั่ง

ต้นทุนเดิมคือ 23 ที่นั่ง จะกลับเข้ามาทั้งหมด ที่จะเพิ่มมาอีกหลายจังหวัด ค่อนข้างชัวร์ อาทิ จังหวัดลพบุรี-อำนาจเจริญ-อุบลราชธานี-นราธิวาส-สมุทรปราการ-อยุธยา-นครปฐม-ปทุมธานี-สระบุรี- 2 ที่หมายจากอุทัยธานี

หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยจึงการันตีด้วยความชัวร์ชัดว่า โอกาสที่จะได้รับเลือกเข้ามาในการเลือกตั้งครั้งหน้า 50 ที่นั่ง จาก 2 ระบบค่อนข้างแน่ เนื่องจาก “พรรคใหญ่” จะได้ตัวหารสัดส่วนบัญชีรายชื่อน้อยลง

พรรคขนาดกลาง พอดิบพอดี ระดับภูมิใจไทย เลย “เหวี่ยง” ได้สบายๆ เป็น “ตัวแปร” ดีกว่าใครทุกพรรค