ทวีปที่สาบสูญ กลับบ้าน…ถ้าอ่านมันโดยเข้าใจ

[10.ฉันกะพริบตา…ทั้งหมดนั้นล้วนแต่เป็นเพียงความฝัน ทั้งที่ในความจริง เป็นเวลาเพียงไม่กี่นาที ที่ร่างกายแสนอุ่นของผู้หญิงผมสั้นแนบชิดกับร่างกายของฉัน เราใกล้กันสุดเท่านั้น

เท่านั้น…

…หรือความรักของฉัน ก็จะเหมือนความรักของแม่

 

9.

ฉันจะทำยังไง หยดน้ำในอกถึงจะหยุดการหลั่งไหล ฉันจะทำยังไง ให้สิ่งที่สะท้านสะเทือนอยู่ข้างในกลับเป็นปกติเสียที

ฉันไม่รู้จะทำตัวกับทุกสิ่งยังไง ฉันควรจะดีใจ แต่ฉันก็ยังเสียใจ ฉันควรจะปลอดโปร่งสบายใจ แต่ฉันก็ยังคงร้าวลึกข้างใน

มีเสียงน้ำจากฝายไหลดังอยู่เสมอ กล่อมพวกเราทุกคนตลอดเวลา เช่นเดียวกับกลิ่นหอมดอกไม้ที่รายรอบบ้าน หากฉันก็รู้…ฉันยังคงรู้

แม้พวกเราจะรักกัน แต่ฝุ่นหนาเหล่านั้นที่เคลือบฉาบทาบทา และปุปะเสื้อผ้าเก่าหมองของแม่ กับแก้มแดงแตกของน้อง และเรืองรองของหมู่ใบแดงในฝัน…สักวัน…สักวัน มันก็อาจจะหวนโรยโปรยมา

ใช่ ฉันจะไม่เห็นก้อนหินที่อยู่ในดวงตา…ของแม่…

 

8.

มีกลิ่นดอกกุหลาบโชยรวยรินฟุ้งบ้านไปหมด ฉันรู้สึกถึงไออวลอยู่ในโพรงจมูกและประสาทสัมผัส แต่กระนั้น ก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่า นี่ไม่ใช่ความฝัน

ฉันได้กลับมาบ้าน โดยแม่เป็นคนพามา และมีพี่สาวหอบหิ้วเสื้อผ้าข้าวของมาส่ง ทั้งสองคนช่วยกันประคับประคองฉันทุกย่างก้าว จนทุกครั้งที่เจ็บเสียดรวดร้าว แทบไม่อยากจะแสดงออกไป

…นี่มันอะไรกัน มันคือชีวิตชนิดไหน ก่อนหน้านั้น ฉันกับแม่แทบจะไม่มองหน้ากัน

แม่โกรธฉัน และฉันก็ชังแม่

แต่แล้ววันหนึ่ง ซึ่งฉันตัดสินใจจะขอไปจากทุกๆ คนให้จบสิ้นเสีย กลับถูกเรียกรั้งให้กลับมา และในการกลับมา…ราวว่าห้วงกาลเวลาหนึ่งได้เปลี่ยนไป

แม่เข้าครัวไฟ ก่อไฟต้มข้าว ตอกไข่ใส่ แล้วยกเอาถ้วยร้อนๆ ออกมาอย่างระมัดระวัง นำวางต่อหน้าฉัน

พี่สาวเทน้ำใส่แก้วให้ฉัน พ่อนั่งยิ้มมองดู และตลอดเวลาเหล่านั้น น้องยังพัวพันอยู่รอบๆ ตัว กอดหลังกอดไหล่

นี่มันชีวิตชนิดไหนกัน

 

7.

พ่อขึ้นเรือนมาในอีกครึ่งชั่วโมงต่อจากนั้น แกะห่อผ้าขาวม้าออก และจกของออกจากตะกร้าหลายสิ่งอัน มีทั้งหมากเหมี้ยงมูลี หอยเบี้ย ผ้าขาวผ้าแดง และดินเหนียว

ฉันนั่งมองของเหล่านั้น…ฉันเคยคุ้นกับมันมาไม่น้อย ข้าวของที่จะใช้ในการส่งเคราะห์ส่งผี สิ่งที่พ่อกับแม่กำลังจะทำให้

ยื่นมือใหญ่มาลูบหัวฉัน

 

6.

“อร่อยไหม กินได้ไหมลูก”

แม่ยังคงอยู่ข้างๆ และมองฉันทุกครั้งที่ยกช้อนขึ้นจรดริมฝีปาก ยังยากที่จะกลืน…แต่ก็ต้องฝืนกลืนเข้าไป

พูดตามจริง ข้าวของแม่คงจะหอมและนิ่มมาก หากฉันก็ยังไม่อาจรู้รสทั้งหมดอยู่ดี มีอะไรมากมายดิ้นรนเคลื่อนไหวอยู่ในอกอย่างลึกลับ

ฉันกลับมา…

ฉันได้กลับมา

ในสภาพที่เป็นยิ่งกว่านกปีกหัก

และเจ็บปวดอย่างไม่อาจอธิบายได้เลย กับทุกๆ การกระทำที่แสดงความรัก

ทุกๆ คนกำลังบอกว่ารักฉัน

 

5.

“อ้าว! ไห้อีกทำไม”

แม่มีน้ำเสียงตกใจ และรีบวางถ้วยลงบนพื้น ไอควันยังพุ่งออกมา แลเห็นเม็ดข้าวขาวพี มีน้ำคลอปริ่มหอมอุ่น ช้อนสั้นเสียบคา

แม่ทำในสิ่งที่ฉันไม่คิดว่าแม่จะทำมาก่อน นั่นคือนั่งลงบนพื้น แล้วรั้งเอาตัวฉันไปกอดไว้

จังหวะนั้นเอง ยินเสียงวิ่งขึ้นบันไดมา เด็กตัวขาวคนหนึ่งโผล่มาอย่างรวดเร็ว และโดยไม่ทันตั้วตัว ก็โถมร่างเข้าใส่

ฉันแทบจะล้มหงาย เช่นเดียวกับแม่ เอ็ดเสียงออกไป

น้องหยุดตัวเองทันที ค่อยๆ ผละออก วงแขนสองวงที่กอดรัดฉันคลายออก…แต่สายตายังคงมองฉันอยู่

น้องไม่ได้ไว้ผมยาวแล้วหรือ ฉันมองใบหน้าขาวๆ ผ่านม่านน้ำตา ใบหน้าอวบกลมที่จ้องกลับมา ฟันซี่เล็กๆ ในปากอิ่มเต็ม ผมสีน้ำตาลเข้ม น้องโตขึ้นตั้งมากมาย

 

4.

น้ำตา…น้ำตามาจากไหน มันกลั่นจากอกใน หรือเพียงไหลมากับสายน้ำที่เคลื่อนรินอยู่เบื้องหน้า

เหมือนมีเงาบังพร่า เมื่อมองลอดใต้ถุนยุ้งข้าวไป จากขั้นบันไดที่นั่งอยู่ แต่ก็พอจะมองเห็นฝอยกระเซ็นขาวๆ กับเสียงซัดซ่า

น้ำจากฝายไหลมาจากน้ำแม่ทางเหนือ และมันกระทบกระแทกแตกฟอง ก่อนจะเคลื่อนคล้อยลอยละล่องจากจุดนั้นไป

เลาะเลียบไปกับตลิ่ง

ได้ยินเสียงเพลงลอยมาจากทางใดทางหนึ่ง ฟังออกว่าคงมาจากคออวบหนา และห้าวพร่าด้วยน้ำเสียงของวัยหนุ่ม

รู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมา เมื่อคิดถึงไหล่ล่ำหนา…ที่ผ่านมา

น้ำตายังคงหยาดตกอย่างเยียบเย็น

พยายามปาดมือเช็ด ในเสี้ยวสำนึกที่รู้ตัว ก็ไม่ได้อยากให้ใครเห็น

 

3.

บ้าน…เท้าของฉันสัมผัสกับไม้กระดานที่ยังคงเรียบลื่นเหมือนที่เคยเป็นเสมอมา ทว่า ก็สากระคายด้วยฝุ่นอยู่ไม่น้อย

แต่เมื่อกวาดตามองไป ใจก็หายขึ้นวูบหนึ่ง ทุกอย่างดูหมองหม่น ใต้ชายคาฝ้ามีแต่หยากไย่ แผ่นไม้สีน้ำตาลดูเก่ามอม…คร่ำคร่า ภาพโปสเตอร์รูปดาราหนังที่ติดข้างฝา หลุดล่อนจนเห็นรอยฉีกขาวๆ

เกือบขาสั่น ฉันทรุดลงนั่งบนหัวข่ม

จู่ๆ ฉันก็พบว่าตัวเองเดินทางแสนไกล แค่เพียงจะกลับมาหาร่มไม้ชายคาบ้านสีน้ำตาลหลังหนึ่ง ซึ่งในบัดนี้ ทุกๆ คนล้วนดีกับฉัน

“หิวหรือเปล่าลูก” แม่ถาม

แล้วเสียงชายผ้าซิ่นก็ขยับฝึบฝับ บอกให้รู้ว่าตั้งใจจะรีบก้าวย่าง

“กินข้าวต้มมั้ย มีข้าวเจ้าอยู่ แม่จะทำให้”

 

2.

มีกลิ่นรวยรินเข้ามาในโพรงจมูก หอมจนฉุน และแทบจะทำให้ฉันสั่นไหวในอก…กลิ่นอะไรกัน

มันให้ทั้งความรู้สึกที่คุ้นเคย และเรียกเอาความหลากหลายรู้สึก…ก้ำกึ่งจะแปลกหน้า จนอลหม่านอยู่ในความเงียบงัน

จนกระทั่งฉันต้องค่อยๆ จับราวบันไดไว้ และเหลียวไปถาม

“แม่ปลูกดอกอะไรหรือ”

แม่มีประกายเปล่งปลั่งขึ้นในตาทันที…ตาคู่นั้น เกือบคล้ายแสงแดดสายนั้นอีกเช่นกัน

“กุหลาบขาว”

ฉันหยุดชะงัก เราเคยมีอยู่แล้วนี่ ไม่ใช่หรือ กุหลาบขาวที่อยู่ข้างต้นรักเร่ ใกล้กันนั้นยังมีมะลิพุ่มใบหนา ซึ่งในหน้าร้อนจะมีกลิ่นหอมๆ ลอยมา

ตรงนั้นอีกไง จะมีบ่อน้ำที่ขุดไว้ ใกล้ต้นมะขามเปรี้ยวอีกต้น…

“ปลูกใหม่น่ะ ต้นเก่าน่ะตายไปแล้ว” แม่พูด

“ขึ้นเรือนกันก่อนเถอะ” เสียงพ่อแทรกมา “แม่พาลูกขึ้นบ้านก่อน”]

 

1.

“ไหนว่าจะไม่ร้องเพลงนี้อีก!”

สองร่างที่อยู่ตรงนั้นบิดเบี้ยวพร่าเลือนไปชั่วขณะ เหมือนภาพไหวในน้ำกระเพื่อม ก่อนจะกลับมารวมรูปอีกครั้ง

ชายหนึ่ง และหญิงหนึ่ง ยืนจ้องกันที่นั่น

“อย่าบอกนะ ว่าคิดถึงมันอีก!”

เงียบ ผู้หญิงโหนกแก้มสูงคนนั้น เพียงแต่เงียบนิ่งอยู่

“ขอทีได้มั้ย ชีวิตเรากำลังจะไปได้ดี ดูสิ! พี่ทำทุกอย่างให้เธอพอใจ ยังจะเอาอะไรอีก ลืมมันเสียที! ความรักลมๆ แล้งๆ!”

“ลมๆ แล้งๆ! แล้วพี่มายุ่งกับฉันทำไม! ถ้าคิดว่าเป็นเรื่องโง่ๆ งมงาย พี่ก็ไปเสียสิ!”

“…เดี๋ยวลูกได้ยินนะ อย่าเสียงดังได้ไหม”

“ได้ยินก็ช่างสิ ลูกพี่ เอามาให้ฉันเลี้ยงทำไม!”

“ไม่ใช่! ลูกของเราน่ะ…ลูกของเรา!…อ้อ! ชื่อลูกน่ะ ตั้งเพราะอีคนนั้นใช่มั้ย!”

“ใช่ ฉันตั้งตามชื่อเขา นึกว่ารู้แล้วเสียอีก”

“แบบนี้ใช่ไหม ถึงไม่ให้ลูกใช้นามสกุลพ่อ”

“ใช่”

“ฉันก็เหมือนกัน จะไม่มีวันใช้นามสกุลใคร นอกจากของแม่ฉัน!”

 

0.

…แม่

คนที่แม่รัก คือผู้หญิงใช่มั้ย…]

มีคนบอกว่า ก่อนจะขึ้นเลข 1 คือเลข 0 และสุดท้ายของเลข 0 จะพาเราวนกลับไปหาเลข 1 อีกเสมอ ฉันไม่รู้เหมือนกันว่า นี่เป็นจุดจบหรือการเริ่มต้นกันแน่ แต่โดยปราศจากความคิดอื่นใดอีก นอกจากการตระหนักว่า ฉันจะมีเพียงทางเดียวในการอยู่รอดต่อไปให้ได้

ฉันต้องบอกเล่าให้ใครสักคนฟังในเรื่องเหล่านี้

ไม่มีทางอื่นอีกแล้ว นอกจากการเขียน

ฉันต้องเขียน มีเพียงการเขียนเท่านั้นที่จะพาฉันพ้นออกไปจากโลกแคบๆ ที่ฉันหลงวนอยู่

ในวาระที่ฉันไม่มีทางไป

ไม่มีเลยจริงๆ

โดยเฉพาะ…ฉับพลันทันใด ที่ฉันตระหนกขึ้นมาสุดใจจนต้องรีบออกมาจากบ้านของจอมฝันมา ฉันเข้าใจแล้วว่า ฉันมีชีวิตอยู่กับอะไร

แต่ให้ตายเถอะ…ฉันไม่อาจจะเล่าเรื่องทั้งหมดนี้ให้ใครฟังได้ ในทุกที่ที่ฉันอยู่

 

พับกระดาษสมุดสามแผ่น เขียนด้วยลายมือทุกหน้า ฉันสอดมันลงซองสีขาวขลิบลวดลายเครื่องบินลำเล็กๆ มากมาย พยายามรีดมันเพื่อจะจ่าหน้าซองให้ได้

ฉันยังคงเก็บที่อยู่ของนิตยสารเล่มนั้นไว้…ฉันจะลองส่งเรื่องไปอีกสักครั้ง ฉันอยากลองหวัง…อยากลองหวังว่า จะมีใครสักคนอ่านมัน

แต่ฉันคงไม่อาจจะใช้ชื่อจริงของฉัน หรือนามสกุลพวกนั้น ที่ล้วนแต่เป็นของคนอื่น…ไม่ว่าจะพ่อหรือแม่ พวกเขาทุกคนล้วนเป็นคนอื่น

ฉันจะขอตั้งนามปากกาของฉัน จากเรื่องราวของตัวฉัน ให้กับทุกเรื่องที่จะส่งไป

ฉันจะเอาเรื่องจริงมาเขียนเป็นบทกลอน เรื่องสั้น นิยาย และจะคว้าจับความเจ็บปวดเกลื่อนกล่นมากมาย ใส่ให้เต็มบรรทัด

และในทุกๆ วรรค ในแต่ละช่องไฟ ฉันหวังว่าจะมีใคร…มีใครสักคนได้ “อ่านฉัน”

สำหรับเรื่องแรกนั้น ฉันจะตั้งชื่อมันด้วยประโยคเรียบๆ ที่ครั้งแล้วครั้งเล่า ยังเป็นประโยคเดียวที่ทำให้ฉันสำเหนียกว่า ตัวเองก็แค่ปลาซิวปลาสร้อยที่พยายามจะกระโดดจากบึงน้ำในนา เพียงจะพลัดตกลงมา เถลือกไถลอยู่ในท้องฟ้าจำลองของแอ่งน้ำขังข้างถนน

นามปากกา จะหมายความว่า คนจรผู้ปราศจากที่นอนอันเป็นหลักแหล่ง

ชื่อเรื่อง “กลับบ้าน”

ถ้าอ่านมันโดยเข้าใจ จะรู้ว่าน่าขันขื่นเพียงใดในคำศัพท์ย้อนแย้งกันเหล่านั้น