เปิดใจ”จตุพร” คิดอะไร จับมือใครหรือไม่? และข้อเสนอให้ประเทศไทยไปรอด!

จตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช.ที่เพิ่งได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำเวลาเดือนกว่าๆ เปิดใจเล่าแนวคิดที่ได้ตกผลึกมาจากเรือนจำและร่วมคุยกับผู้ที่ต้องโทษคดีการเมืองทุกคน ว่าถึงเวลาแล้ว ที่ทุกฝ่ายต้องคุยกัน

สิ่งแรกที่ยอมรับความเป็นจริงก่อน คำว่า “ปรองดอง” เป็นคำที่ไม่น่าเชื่อถือเช่นเดียวกับคำว่า “สมานฉันท์” เพราะว่าประเทศไทยไม่เคยทำให้สำเร็จในตลอดระยะเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมา

พอพูดเรื่องปรองดอง คนก็รู้ว่านี่คือความไม่สำเร็จทั้งปวง เสมือนหนึ่งว่าเป็นคำหลอกลวง ผมในสถานะที่ไม่มีสิทธิทางการเมืองตอนนี้ ในฐานะที่ผมผ่านเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 และเหตุการณ์ในปี 2553 ซึ่งมีบทบาทสำคัญในทั้ง 2 เหตุการณ์ เห็นความตายกว่า 200 ชีวิต บาดเจ็บหลายพันคน

ผมเข้าใจดีว่าสถานการณ์ทางการเมืองต่อไปจะเป็นอย่างไร ฉะนั้น การที่ผมออกมาเสนอให้ทุกคนพูดคุยกัน ทั้งฝ่ายการเมืองและฝ่ายผู้มีอำนาจ เพราะต้องยอมรับความเป็นจริงว่ากติการัฐธรรมนูญปี 2560 ซึ่งเป็นฉบับเลวร้ายที่สุด มีการซ่อนกลไกที่ทำให้เกิดเรื่องราวต่างๆ ได้ตลอดเวลา อยู่ที่ว่าจะหยิบยกมาเรื่องอะไร ในหนทางข้างหน้า

เราก็เห็นอยู่ว่า การออกแบบมีความแยบยล คำถามคือ ใครจะสามารถได้เสียงเกิน 376 เสียง ภายใต้กติกาครั้งนี้ที่เป็นบัตรใบเดียว พรรคการเมืองขนาดใหญ่ยิ่งหาเสียงมากเท่าไหร่ ปาร์ตี้ลิสต์ยิ่งหายมากเท่านั้น

จึงเกิดภาพอย่างที่เห็นตอนนี้คือ จะได้เสียงมากต้องแยกกันตั้งพรรค-แตกแขนง สะท้อนได้ชัดเจนว่าจะไม่มีพรรคการเมืองใดได้เสียงเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

ทางออกที่มีตอนนี้คือ ต้องคุยกันในซีกของพรรคการเมือง ถ้าฝ่ายผู้มีอำนาจใจกว้าง ก็ควรเข้าร่วมพูดคุยด้วย

เช่น ตกลงกันว่าถ้าใครสามารถจัดตั้งได้เสียงเกิน 250 ในสภาผู้แทนราษฎร ฝ่ายวุฒิสภาที่ถูกแต่งตั้งมา จะต้องเคารพการตัดสินใจของสภาผู้แทนราษฎร เพราะการที่รัฐธรรมมนูญออกแบบให้วุฒิสภามีสิทธิ์ในการร่วมโหวตนายกรัฐมนตรี นี่ถือเป็นเวลาอกแตกของบ้านเมือง ถ้าเราได้นายกฯ คนนอกก็จะมีปัญหาตั้งแต่วันแรก แม้จะผ่านไปได้ก็จะมีปัญหาตามมาเรื่อยๆ ในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากจะทนทาน

ขณะเดียวกันนายกฯ คนใน ผมให้นับเวลารอได้เลย ไม่เกิน 3 เดือน 6 เดือน นายกฯ คนนอกก็จะรอเป็นในจังหวะที่ 2 เพราะแค่นายกฯ คนในถูกวุฒิสภาและองค์กรอิสระตีความ สมมุติแค่เรื่องการแถลงนโยบายว่าขัดต่อ พ.ร.บ.ยุทธศาสตร์ชาติหรือไม่? เมื่อมีการชี้ขาดผลออกมาว่าขัดรัฐธรรมนูญ รัฐบาลก็ไปไม่รอด รัฐธรรมนูญปี 2550 ขนาดว่าเบากว่านี้เยอะ แค่ย้ายข้าราชการคนเดียวก็ไปทั้งรัฐบาลได้เลย

ผมเองเห็นว่าประเทศไทยเราจะล้าหลังหนักกว่าเดิม ไม่มีเสถียรภาพการปกครอง ทั้งๆ ที่ความจริงเราควรจะก้าวไปข้างหน้า ไม่ควรมีปัญหาในเรื่องนี้

ผมไม่ได้ชวนคนออกมาต้าน คสช.นะ ไม่มีประโยคไหนว่าให้พรรคการเมืองทำอย่างนั้น เพียงแต่ขอให้พรรคการเมืองร่วมมือกันและให้ผู้มีอำนาจเปิดใจกว้างให้มีการคุยร่วมกันหาทางออกให้ประเทศ ภายใต้กติกาที่เป็นปัญหานี้ เพราะถ้าฝืนปล่อยไป ผมไม่อยากเห็นเรื่องการต่อสู้บาดเจ็บล้มตายอีกแล้ว

สำหรับโจทย์การพูดคุย พรรคการเมืองก็อาจจะเสนอแนวความคิด เช่น ถ้าใครรวบรวมเสียงในสภาได้เกิน 250 หรือจะใช้ประเพณีเดิมให้อันดับหนึ่งไปจัดตั้งรัฐบาลก่อน หรือจะเอาว่าใครรวบรวมเสียงได้ก่อนจัดตั้ง ต้องตกลงกัน โดยที่ต้องเจรจากับฝ่ายผู้มีอำนาจว่าวุฒิสภาต้องทำตามเจตนารมณ์ของสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน

ถ้าไม่ทำเช่นนี้ เราก็จะได้รัฐบาลเสียงข้างน้อย เราจะเห็นภาพของผู้ทรงอำนาจทั้งหลายไปประกบติดหัวหน้าพรรคการเมืองซึ่งนี่ไม่ใช่ทางออก

แต่ทุกวันนี้บางเรื่องยังไม่ชัดเลย ว่ากรรมการกับผู้เล่นบางทียังเป็นคนคนเดียวกันอยู่เลย กลายเป็นว่าบางทีกรรมการพร้อมจะยิงประตูได้ตลอดเวลา ถ้าเป็นแบบนี้ก็จะเป็นหนทางในการสร้างวิกฤตให้กับประเทศขึ้นมาใหม่อีกระลอก

การพูดคุยกันไม่ได้เป็นการทำให้ทุกคนเหมือนกัน แต่คุยกันเพื่อให้ความแตกต่างที่จะต้องดำรงอยู่เราจะหาทางออกอย่างไรให้อยู่ร่วมกันได้ ถ้ายังปล่อยตามสภาพบ้านเมืองเราจะมีรัฐล้มเหลว ประชาชนก็ล้มเหลว มันจะไปต่อกันไม่ได้

การที่ผมติดคุกเข้าไปอยู่ในเรือนจำแล้วมีโอกาสไปอยู่ร่วมกับคนที่ก่อนหน้านี้มีความเห็นต่างกัน เราต่างเห็นชะตากรรมของชาติบ้านเมือง เราก็สามารถพุดคุยกันได้ไม่มีเรื่องส่วนตัวใดๆ เรื่องราวในอดีตที่ผ่านมาใครมีคดีความ ใครมีเรื่องราวก็ปล่อยให้ไปตามกระบวนการยุติธรรม

แต่วันนี้ต้องมองไปข้างหน้า ทุกคนต้องช่วยกันคิด ฝ่ายหนึ่งต้องหยุดการยั่วยุอีกฝ่ายหนึ่ง ผมเข้าใจดีว่าทุกฝ่ายมีความเจ็บแค้นในประวัติศาสตร์ช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมาด้วยกันทั้งนั้น มันต้องมีการหยุดการกระทำที่เป็นสาเหตุให้เกิดความยั่วยุ ขณะเดียวกันต้องหยุดความสะใจเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายหนึ่งได้รับความเจ็บปวดไปมากกว่านี้

ผมอยากยกตัวอย่างให้เห็นภาพ ว่าทั้งสองฝ่ายต่างมีคดี มีอัตราโทษเท่ากัน มีคดีอยู่ในศาลเหมือนกัน สมมุติว่ามีคนหนึ่งถูกตั้งเข้าไปมีอำนาจ นี่ก็เท่ากับว่าจะทำให้เกิดภาพเปรียบเทียบ

ฉะนั้น ฝ่ายหนึ่งต้องไม่ทำให้อีกฝ่ายหนึ่งเกิดความรู้สึกกระทบกระเทือนจิตใจ ที่ผ่านมาผมพยายามเตือนทุกคนว่าอย่าไปแสดงความสะใจเวลามีตัดสินคดีใดๆ เราต้องมีพื้นที่ในการรักษาความเป็นมนุษย์เอาไว้ ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาเราเปลี่ยนแปลงมันไม่ได้ก็ปล่อยให้มันเป็นตามกระบวนการ แต่ทางข้างหน้าเราสามารถตกลงกันได้ว่าจะหลีกเลี่ยงไม่ให้ซ้ำรอยประวัติศาสตร์ได้อย่างไร เป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน

จากนี้ไปผมไม่ต้องการเห็นวีรชนเกิดขึ้นในบ้านเมืองเราอีกแล้ว เพราะวีรชนคือต้องตายก่อน และคนที่ตายคือประชาชนทั้งนั้นตลอดเวลาในช่วงหลายสิบปีนี้

ตั้งแต่ออกจากเรือนจำมาผมพยายามพูดเรื่องนี้เสมอ แล้วผมต้องเริ่มต้นที่ตัวเองก่อน แต่ลำพังผมคนเดียวทำไม่ได้หรอก ถ้าทุกฝ่ายไม่ให้ความร่วมมือ ผมเองพยายามฟังมากกว่าพูดแล้วก็สังเคราะห์ และพยายามอธิบาย โดยเลิกการตอบโต้แบบในอดีตที่ผ่านมา

ผมไม่ต้องการให้คนไทยดูการเมืองเหมือนดูมวยปล้ำ (ที่เป็นการแสดง) ซึ่งมันสะท้อนสังคมไทยพอสมควรนะ เพราะกรรมการมวยปล้ำเป็นกรรมการที่ขี้โกงมากที่สุด เพราะนั่นคือ “การแสดง” แต่ประเทศชาติเป็นเรื่องความจริง ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนเกิดขึ้นจริง

คนไทยถูกคำหนึ่งตามหลอกหลอนมาตลอดเลย คือคำว่า “ความไม่สงบ” ต่อให้จนก็ยอมทนได้เพราะต้องการให้บ้านเมืองเกิดความสงบ หิวก็ทนได้ให้บ้านเมืองสงบ ไม่เป็นประชาธิปไตยก็ทนได้ให้บ้านเมืองสงบ

วันนี้เราต้องมาคิดใหม่ว่าจะทำอย่างไรให้สงบและประเทศเดินหน้าไปด้วยกันได้ ให้มันเกิดครบทุกอย่าง ไม่ให้ได้อย่างเสียอย่างแบบที่เป็นอยู่ และการคุยกันไม่ใช่เรื่องของการฮั้วกัน แต่เป็นการตกลงกันในเรื่องของกติกาที่เป็นปัญหา

เพราะวันนี้ต้องยอมรับว่า การแก้รัฐธรรมนูญเป็นเรื่องที่ยากที่สุด เหมือนบอกให้เดินทางไปดวงอาทิตย์ คือไม่ห้ามแก้ (เดินทางไป) แต่ถามว่ามันไปได้จริงหรือ?

ทุกคนในกระดานการเมือง ต้องมองและเข้าใจภาพร่วมกันว่า ถึงใครชนะก็ปกครองไม่ได้ แพ้ก็มีปัญหา แต่ละฝ่ายต้องคิดอ่านแล้วว่าแพ้กับชนะจะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร ให้ทั้งสองฝ่ายได้มีที่ยืน

แต่ถ้าทุกคนต่างเอาเรื่องของตัวเองใหญ่กว่าเรื่องของบ้านเมือง มันไม่มีวันจะไปได้ จึงต้องช่วยกันคิดวิธี นำเสนอในเชิงสร้างสรรค์ระหว่างกัน หลีกเลี่ยงการสร้างความเจ็บช้ำเพิ่ม ต้องยอมรับว่าเราทุกคนต่างมีปมในหัวใจทั้งสิ้น แต่ทุกคนต้องสละความรู้สึกส่วนตัวเพื่อให้ชาติอยู่รอด

ผมเชื่อว่าคนไทยทุกคนทุกฝ่ายพร้อม วางเรื่องตัวเองลงเสียก่อน เอาชาติให้รอด

ข้อเสนอของผมนี้ ผมก็ไม่คิดว่าไปทำให้ใครเดือดร้อน แต่ถ้ายังมีคนไม่เข้าใจ ผมก็จะยังคงเสนอต่อไป อธิบายต่อไป โดยไม่ใช้วิธีเก่าๆ เมื่อก่อนทุกคนคงจำได้ เพียงแค่มีใครกระแทกผมมาแรงๆ ผมก็จะกระแทกกลับ ทุกคนรู้ดีว่าผมเป็นคนอย่างไร แต่ตอนนี้ผมเลือกที่จะไม่ทำแบบเดิมแล้ว ผมขอเริ่มต้นที่ตัวเอง

ผมเองและผองเพื่อนต่างได้แลกเปลี่ยนพูดคุยกันว่า เราเองล้วนอยู่ในช่วงปลาย เราต้องต่อสู้กับสังขารและอิสรภาพ 10 กว่าปีที่ผ่านมาเรารบกันตลอดไม่ได้หยุด เราแผลเหวอะ สังขารและอิสรภาพอันน้อยนิดที่เหลืออยู่ในช่วงปลาย เราเลยคิดว่าจะสามารถทำประโยชน์อะไรให้ชาติบ้านเมืองได้ ถ้าเราคิดแบบเดิมทำแบบเดิมมันก็ได้ผลแบบเดิม

และทั้งหมดเป็นเรื่องของชะตากรรมไม่ได้ขึ้นอยู่กับผมเพียงคนเดียว ขึ้นอยู่กับทุกคนจะให้ความร่วมมือหรือไม่ ถ้าเอาชาติบ้านเมืองเป็นหลักแล้วเราทุกคนจะรอด

 

สามารถรับชมคลิปการเปิดใจครั้งสำคัญของ “ตู่ จตุพร” ได้ที่ https://bit.ly/2pdJ1gD