บทวิเคราะห์ : เมื่อทหารเสือฯ ไม่ยอมลงจากหลังเสือ ‘บิ๊กตู่’ ไม่พอ ขอไปต่อ จับตาแผนลับการเมือง กับบทบาท ‘บิ๊กแดง’ Change และไลน์ ‘บิ๊กบี้-เสธ.อ๊อบ’

รายงานพิเศษ

 

เมื่อทหารเสือฯ ไม่ยอมลงจากหลังเสือ

‘บิ๊กตู่’ ไม่พอ ขอไปต่อ

จับตาแผนลับการเมือง

กับบทบาท ‘บิ๊กแดง’ Change

และไลน์ ‘บิ๊กบี้-เสธ.อ๊อบ’

 

สมัยป๋าเปรม พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ยังต้อง 8 ปี ป๋าเปรมถึงจะบอกว่า “พอแล้ว”

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ 4 ปีกว่าของการเป็นนายกฯ และหัวหน้า คสช. ที่มี “มาตรา 44” เป็นอาวุธ อย่างบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ยึดโมเดล “ป๋าเปรม” ในหลายเรื่อง จะยังไม่พอ แต่ประกาศเดินหน้าต่อในสนามการเมือง

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

แม้จะด้วยคำพูดแค่เพียงว่า “ผมสนใจงานการเมือง” เท่านั้นก็ตาม แต่ทว่า ท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ชัดเจนมาตั้งแต่ประกาศตนว่า “ผมเป็นนักการเมือง” นั่นแล้ว

“เพราะผมรักประเทศชาติของผม เพราะผมสนใจว่าสิ่งที่ผมทำลงไปจะได้รับการสานต่อหรือไม่” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

หรืออาจกล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่า พล.อ.ประยุทธ์กลัวการ “เสียของ” เช่นการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่ปฏิวัติแล้ว ตั้งรัฐบาลทหาร อยู่แค่ปีกว่าแล้วเลือกตั้ง พรรคไทยรักไทย และต่อมาพรรคเพื่อไทยของ “ทักษิณ ชินวัตร” ก็มาเป็นรัฐบาลตามเดิม

หากแต่ พล.อ.ประยุทธ์ยังไม่ประกาศว่าจะเข้าเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดหรือไม่ หรือจะเป็นพรรคพลังประชารัฐ โดยขอเวลาอีกสักระยะหนึ่ง

ขณะที่รัฐมนตรีในรัฐบาล คสช. ก็ไปช่วยพรรคพลังประชารัฐกันชัดเจนแล้ว โดยที่ พล.อ.ประยุทธ์ก็ให้ท้ายว่า ไม่ได้ทำให้ระบบเสียหาย และไม่ผิดกฎหมาย ทำได้หมด

พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์

 

แต่ไม่ว่าจะเข้าร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ พล.อ.ประยุทธ์ก็ไม่ต้องลาออกจากทั้งการเป็นนายกฯ และหัวหน้า คสช.

จึงสยบข่าวลือที่ว่า จะมีการเปลี่ยนตัวนายกฯ จาก พล.อ.ประยุทธ์ ไปเป็นบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ ได้เสียสนิท

อาจเรียกได้ว่า ดวงของ พล.อ.ประวิตรนั้นคงไม่มีวันถึงเก้าอี้นายกฯ แน่นอน แม้ในอดีต โหรวารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ อดีตโหร คมช. จะเคยทำนายไว้ก็ตาม หรือแม้ว่าจะมีครุฑทอง ตามที่พระเกจิอาจารย์ที่เคารพนับถือ แนะนำมาหลายตัวแล้วก็ตาม

แต่ทว่า ที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ที่ก็มีครุฑทอง ก็ได้เป็นนายกฯ จากการรัฐประหาร และตัดสินใจที่จะไปต่อหลังการเลือกตั้งในปี 2562

อีกทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ ก็รู้ข้อกฎหมายนี้ดีว่า ไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่ต้องลาออก ไม่ว่าจากตำแหน่งใด

“ต้องพิจารณาว่า ผมจะต้องไปเป็นสมาชิกพรรคใดหรือไม่ ต้องดูว่า ผมจะไปร่วมกับเขาได้แค่ไหนอย่างไร” พล.อ.ประยุทธ์เปรย

 

การไปต่อของ พล.อ.ประยุทธ์ ท่ามกลางความมั่นใจเต็มกระเป๋า เพราะมีแต่เสียงเชียร์จากคนรอบข้าง รวมทั้งผลโพล อีกทั้งตัวเองก็มั่นใจ “มีรัฐบาลเลือกตั้งที่ผ่านมา ทำได้อย่างที่ผมทำมั้ย” และ “ทำให้ต่างประเทศยอมรับในการบริหาร”

พล.ต.สันติพงษ์ ธรรมปิยะ

“ไม่กลัวการเมือง ไม่กลัวแรงเสียดทานทางการเมือง เพราะผมสู้มา 4 ปีแล้ว” บิ๊กตู่ลั่น

แม้จะมีเสียงเตือนถึงสิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์จะพบเจอในวันข้างหน้า หากได้กลับมาเป็นนายกฯ ในรัฐบาลผสมที่มีนักการเมือง

รวมทั้งคำทำนายที่ว่า พล.อ.ประยุทธ์จะอยู่ได้แค่ 2 ปี หรือนักการเมืองกลัวจะกลัวเกรง จะยอมแค่ 2 ปี แล้วจากนั้นก็จะออกลาย

กล่าวกันว่า ในสนามรบ ทหารอาจเป็นฝ่ายมีชัยชนะ แต่ในสนามการเมืองแล้ว ทหารมักจะแพ้ทางนักการเมืองเสมอ

ไม่แค่นั้น ยังมีข่าวสะพัดถึงแผนรับมือเลือกตั้งของ “ทักษิณ ชินวัตร” และพรรคเพื่อไทยด้วยว่า หากได้รับเลือกตั้งเข้ามา 200-220 ที่นั่ง จะจับมือกับพรรคภูมิใจไทย แต่จะไม่มีการรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่จะมีไม้เด็ดในการขอ “นายกรัฐมนตรีพิเศษ”

ทั้งนี้ เพื่อแก้เกม พล.อ.ประยุทธ์ และ คสช. และป้องกันไม่ให้เกิดการก่อม็อบต่อต้าน ไม่ยอมรับผลเลือกตั้งที่พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง และป้องกันการสร้างสถานการณ์ไปสู่การรัฐประหารซ้ำ

อีกทั้งก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ออกมาย้ำหลายครั้ง ทั้งในการลงพื้นที่พูดกับชาวบ้านและการให้สัมภาษณ์ว่า “ในรัชกาลนี้ต้องสงบ”

พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์

 

แต่หากพรรคพลังประชารัฐได้ 150 ที่นั่ง ตามที่แกนนำพรรคได้ประเมิน และเชื่อมั่นว่า พลังดูดได้ผล และสามารถจับขั้วตั้งรัฐบาลได้ แล้วให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี ทางฝ่ายพรรคเพื่อไทยก็ต้องยอมรับ

หากแต่เส้นทางบนถนนการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์ในตอนนั้นจะเป็นอย่างไร จะเป็นที่น่าจับตามองยิ่ง

เพราะจากที่ประเมินกันว่า พล.อ.ประยุทธ์ได้วางตัวนายทหารในกองทัพที่พร้อมจะเป็นแบ๊กอัพทางการเมืองไว้แล้ว ตลอดเวลา 4 ปีของการเป็น ผบ.ทบ. และอีก 4 ปีของการเป็นนายกฯ ก็ตาม

แต่อย่าลืมว่า กองทัพก็อยู่ระหว่างการปรับเปลี่ยน ทั้งบทบาท หน้าที่ โครงสร้าง ไปจนถึงตัวทหาร

โดยเฉพาะ ผบ.เหล่าทัพชุดใหม่นี้ จะถูกจับตามองในเรื่องบทบาททางการเมืองอย่างมาก

แม้ว่าจะต้องเป็นสมาชิก คสช. โดยตำแหน่ง ที่ พล.อ.ประยุทธ์ในฐานะหัวหน้า คสช. จะต้องแต่งตั้งขึ้นมาทดแทน ผบ.เหล่าทัพทั้ง 5 คนที่เกษียณราชการก็ตาม

แต่ถ้าไล่ดูกันเรียงตัวแล้ว ผบ.เหล่าทัพแต่ละคนจะลดการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ทั้งบิ๊กณัฐ พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกลาโหมคนใหม่ และบิ๊กกบ พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผบ.ทหารสูงสุดคนใหม่ ก็ไม่ค่อยพูด

พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์

บิ๊กลือ พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ ผบ.ทร.คนใหม่ ที่แม้จะเป็นคนเข้มงวด เด็ดขาด แต่ก็เฉพาะเรื่องเนื้องานของกองทัพเรือ จะไม่พูดเรื่องการเมือง รวมทั้งบิ๊กต่าย พล.อ.อ.ชัยพฤกษ์ ดิษยะศริน ผบ.ทอ.คนใหม่เช่นกัน

 

ขณะที่บิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ.คนใหม่นั้น แม้โดยบุคลิกลักษณะ และบทบาททางการเมืองที่ผ่านมา จะเป็นนายทหารที่ชอบแสดงความเห็น และเคลื่อนไหวทางการเมืองก็ตาม

แต่ตอนนี้สถานภาพของ พล.อ.อภิรัชต์ไม่ได้มีแค่การเป็น ผบ.ทบ. เท่านั้น แต่ยังเป็นนายทหารพิเศษประจำกรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ (ทม.รอ.) และหัวหน้า ฉก.904 อีกด้วย จึงทำให้ พล.อ.อภิรัชต์ต้องระมัดระวังเรื่องการวางตัว วางบทบาท และการแสดงความคิดเห็น

โดยเฉพาะจะไม่สามารถมาตอบโต้ในประเด็นทางการเมืองได้ แม้ว่าตนเองจะถูกพาดพิง หรือโจมตีก็ตาม

 

ดังนั้น จึงต้องมีการตั้งบิ๊กเล็ก พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รอง ผบ.ทบ.คนใหม่ มาช่วยในเรื่องการชี้แจงผ่านสื่อ ร่วมด้วยทีมโฆษก ทบ. และโฆษก คสช.

ที่สำคัญ พล.อ.อภิรัชต์จะต้องระมัดระวังตนในการปรากฏตัวข้างกาย พล.อ.ประยุทธ์ หรือฝ่ายการเมือง

พล.ต.เจริญชัย หินเธาว์

รวมถึงการกำหนดม็อตโต้ของ ทบ.ที่ว่า Smart Soldiers Strong Army อันเป็นการสะท้อนถึงแนวทางการเป็น ผบ.ทบ.ของ พล.อ.อภิรัชต์ ที่ทหารจะต้องสมาร์ตและมีระเบียบวินัย เป๊ะ ตั้งแต่หัวจรดเท้า และตลอด 24 ช.ม. ไม่ว่าในเวลาหรือนอกเวลาราชการ

ไม่แค่นั้น ทิศทางของกองทัพ โดยเฉพาะ ทบ. จะเข้าสู่ยุค Smart Soldier แบบเข้มข้นขึ้น

 

รวมถึงคนที่จะถูกวางตัวให้ขึ้นมาเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 และ ผบ.ทบ.คนต่อๆ ไปด้วย

เพราะจาก พล.อ.อภิรัชต์ที่ขึ้นมาเป็น ผบ.ทบ. จากสายวงศ์เทวัญ คนแรกในรอบ 15 ปี หลังจากบิ๊กเกาะ พล.อ.สมทัต อัตตะนันทน์ แล้ว ยังเป็น “วงศ์เทวัญ ราชสวัสดิ์” คนแรกที่เป็น ผบ.ทบ.

พล.ท.ณรงค์พันธุ์ จิตต์แก้วแท้

โดยเขามีอายุราชการถึงกันยายน 2563 จึงมีการมองไปที่บิ๊กบี้ พล.ท.ณรงค์พันธุ์ จิตต์แก้วแท้ แม่ทัพภาคที่ 1 คนใหม่ ที่ก็โตมาจากวงศ์เทวัญ และทำงานร่วมกับ พล.อ.อภิรัชต์มาตั้งแต่เป็นนายทหารเด็กๆ ในฐานะที่ พล.อ.อภิรัชต์โตจาก ร.11 รอ. ส่วน พล.ท.ณรงค์พันธุ์โตจาก ร.31 รอ. แถมลงไปทำงานที่ชายแดนใต้มาด้วยกัน

อีกทั้งได้ทำหน้าที่ของนายทหารรักษาพระองค์ด้วยกันมาตลอด จนปัจจุบันนี้ในนาม “วงศ์เทวัญ ราชสวัสดิ์”

พล.ท.ณรงค์พันธุ์จึงได้ชื่อว่าเป็นแม่ทัพคู่ใจบิ๊กแดงเลยทีเดียว

โดยเขาเป็นรุ่นน้องเตรียมทหาร 22 ของ พล.อ.อภิรัชต์ และมีอายุราชการถึงปี 2566 จึงสามารถเติบโตขึ้นมาต่อคิวเป็น ผบ.ทบ.ได้เลย

คาดกันว่า ในโยกย้ายตุลาคม 2562 พล.ท.ณรงค์พันธุ์จะขยับจากแม่ทัพภาคที่ 1 ขึ้นเป็น ผช.ผบ.ทบ. นั่งห้าเสือ ทบ. รอคิวเป็น ผบ.ทบ.ต่อจาก พล.อ.อภิรัชต์ รุ่นพี่ ตท.20 ที่เกษียณกันยายน 2563

 

พล.ท.ธรรมนูญ วิถี

ทั้งนี้ บิ๊กหนุ่ย พล.ท.ธรรมนูญ วิถี แม่ทัพน้อยที่ 1 ได้รับสัญญาณได้นั่งเก้าอี้ตัวเดิมต่ออีก 1 ปี เพื่อที่จะรอคิวเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 ต่อจาก พล.ท.ณรงค์พันธุ์เพื่อนรัก ในตุลาคม 2562 แม้จะไม่ได้เป็นวงศ์เทวัญ แต่เป็นบูรพาพยัคฆ์ก็ตาม แต่ พล.ท.ธรรมนูญก็ผ่านหลักสูตรสำคัญที่จะขึ้นเป็นผู้นำทางทหารในยุคนี้ได้

แต่ทว่า พล.ท.ธรรมนูญก็คงไม่ถึงเก้าอี้ ผบ.ทบ. เพราะเกษียณราชการ 2564 และเป็นที่รู้กันดีว่า เป็นเส้นทางของ พล.ท.ณรงค์พันธุ์ ที่ทุกคนต้องหลบทางให้

 

แต่นายทหารที่คาดว่าจะขยับขึ้นมาเพื่อเตรียมเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 คนต่อไป และนั่นย่อมหมายถึง ผบ.ทบ.ในอนาคต ในนาม “วงศ์เทวัญ ราชสวัสดิ์” อีกคนคือ เสธ.อ๊อบ พล.ต.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ที่ได้นั่งเป็น ผบ.พล.1 รอ. หน่วยทหารรักษาพระองค์สำคัญ และเป็นขุมกำลังสำคัญของ ทบ.ต่อ

พล.ต.ทรงวิทย์ หนุนภักดี

 

เชื่อกันว่า แม้ พล.ต.ทรงวิทย์จะจบจากโรงเรียนนายร้อยเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา หรือนายร้อย VMI หรือเรียกว่า จบนอก ที่เคยเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้นายทหารบิ๊กๆ ใน ทบ.หลายคนในอดีต ไม่ได้เป็น ผบ.ทบ.มาแล้วก็ตาม

แต่ในยุคนี้ คงไม่มี “ม่านประเพณี” เรื่องการจบนอก ไม่ได้จบโรงเรียนนายร้อย จปร. มาอีกแล้ว เพราะ พล.ต.ทรงวิทย์ก็ฝ่าม่านประเพณีเหล่านี้ ได้ขึ้นเป็นทั้งผู้บังคับกองพัน ผู้บังคับการกรม และ ผบ.พล.1 รอ. นี้มาได้แล้ว

เส้นทางสายเหล็กของ พล.ต.ทรงวิทย์ จากนี้ในอีกไม่ช้า ก็จะขยับสู่รองแม่ทัพภาคที่ 1 และแม่ทัพภาคที่ 1

โดยจะเห็นได้ว่า แกนนำเตรียมทหาร 24 เพื่อนร่วมรุ่นอย่างบิ๊กหนุ่ม พล.ต.สนิธชนก สังขจันทร์ ผบ.พล.ร.9 ก็ยังถูกผู้ใหญ่จับแยกวงไปโต ไปเป็นรอง ผบ.หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน (รอง ผบ.นรด.) ทั้งๆ ที่เคยถูกมองว่าเป็นแกนนำรุ่นที่มีสิทธิ์ชิงเก้าอี้ ผบ.ทบ.

พล.ต.วรยุทธ แก้ววิบูลย์พันธุ์

 

เช่นเดียวกับบิ๊กตั้ม พล.ต.วรยุทธ แก้ววิบูลย์พันธุ์ ผบ.พล.ร.11 รอ. นายทหารเสือราชินี น้องรักนายกฯ บิ๊กตู่ ที่ก็เคยถูกวางตัวในสายบูรพาพยัคฆ์ ว่าเป็นคนที่ พล.อ.ประยุทธ์วางตัวให้ขึ้นเป็น ผบ.ทบ.ในอนาคต

แต่สูตรอำนาจ “ตู่-ติ่ง-ต่อ-ตั้ม” นี้ ก็ดูจะยากที่จะเป็นจริงแล้ว จากที่ พล.อ.ประยุทธ์เล็งให้บิ๊กติ่ง พล.ต.สันติพงษ์ ธรรมปิยะ รองแม่ทัพภาคที่ 1 น้องรักทหารเสือฯ  ขึ้นแม่ทัพภาคที่ 1 แต่จนตอนนี้  พล.ต.สันติพงษ์ก็นิ่งอยู่ที่เดิม และยังไม่ได้ไปฝึกหลักสูตรสำคัญ แต่ก็ยังลุ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 แข่งกับ พล.ท.ธรรมนูญ เพื่อน ตท.22 ได้ด้วยเช่นกัน

รวมทั้งบิ๊กต่อ พล.ต.เจริญชัย หินเธาว์ รองแม่ทัพภาคที่ 1 น้องรักทหารเสือฯ ของ พล.อ.ประยุทธ์ เตรียมทหาร 23 ก็ดูจะแผ่วลงเช่นกัน

 

การสืบทอดอำนาจของสายทหารเสือราชินี และบูรพาพยัคฆ์ สะดุดลงทันใด

เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน แผนการก็ต้องปรับเปลี่ยน และกำลังจะเดินไปสู่ความเปลี่ยนแปลงอีกหลายอย่าง ทั้งกองทัพและการเมือง